ตอนที่ 11 ยากกว่านี้มีอีกไหม

ไม่มีข้อสอบที่ง่ายทุกข้อในแบบฝึกหัด ไม่มีความสำเร็จใดที่ปราศจากอุปสรรค เรื่องราวที่เข้ามาทดสอบในแต่ละครั้ง เพื่อพิสูจน์พลังในตัวตนของคุณ ว่ามีแรงที่จะก้าวไปสู่การเดินทางที่มีขวากหนามที่ใหญ่กว่านี้รอคุณอยู่ เพียงการทดสอบในแต่ละครั้ง บางทีนั้นเพียงเบาๆ หรือบางคราวก็เจอหนักๆ มากกว่าปกติ นั่นเป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะยอมแพ้หรือเปล่า หรือว่าจะสู้ต่อด้วยพลังจิตใจที่เข้มแข็ง

วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2542 เข้าร่วมประชุมกับสำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดนครพนม แจ้งเรื่องงานบริการที่เกิดขึ้น การเคลมค่าชดเชยที่มีการเรียกร้อง และจ่ายสินไหมให้กับข้าราชการหลายสิบท่าน พร้อมแจ้งการเปิดรับสมัครรอบสอง โครงการนี้จะกลับมาทำหน้าที่อีกครั้งหนึ่ง

วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2542 ผมได้เข้าร่วมประชุมกับสำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดสกลนครอย่างเป็นทางการเพื่อชี้แจงรายละเอียดของโครงการ และประสานงานกับท่านหัวหน้าการทุกอำเภอเพื่อประชุมขยายผลให้ผู้บริหารโรงเรียนทุกอำเภอได้รับทราบโครงการทั้งหมดอีกครั้งหนึ่ง แต่ในการทำงานครั้งนี้ มีเพียงเราสองคนเท่านั้นเอง ที่พร้อมจะทำการรณรงค์รับสมัครข้าราชการทั้งจังหวัดที่มีจำนวน 18 อำเภอ เพราะการมายังต่างแดนไกลๆ ความเหนื่อย เมื่อยล้า ความท้อถอย ความเหงา ย่อมเกิดขึ้นกับทุกคนได้ สำหรับผมมีภารกิจที่ต้องทำ มีเรื่องราวอีกมากมายที่ต้องเดินต่อไปข้างหน้า ท้าทายกับโชคชะตาอย่างหยุดไม่ได้

เขตพื้นที่การศึกษาจังหวัดสกลนครที่ผมได้มีโอกาสเข้ามาเป็นผู้ประสานงานโครงการ พร้อมแล้วที่จะรับใช้สังคมที่นี่ ตั้งแต่วันที่ 2-3-4 มีนาคม 2542 มีการประชุมในอำเภอต่างๆ เพื่อให้ผู้บริหารโรงเรียนในสังกัดได้รับทราบรายละเอียดของโครงการ ตอบคำถามที่สงสัย พร้อมยกตัวอย่างจังหวัดใกล้เคียงที่เข้าร่วมโครงการ นครพนม อุดรธานี ผลประโยชน์จากการได้รับค่าชดเชยรายวันที่เกิดขึ้นจริง สมาชิกหลายๆท่านที่ใช้สิทธิ์เบิกค่าชดเชย ให้เกียรติสัมภาษณ์บอกเล่าความรู้สึกพึงพอใจต่อสวัสดิการที่ได้รับ เพื่อนำไปประชาสัมพันธ์ให้เพื่อนข้าราชการครูต่างพื้นที่ได้ทราบถึงประโยชน์ที่โครงการมีให้จริง เป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจสมัครเข้าร่วมโครงการประกันหมู่ นับเป็นโอกาสที่ดี การทำงานในช่วงเวลานี้เป็นการทำงานที่แข่งกับเวลา เร่งประชาสัมพันธ์ในเขตพื้นที่สกลนครก่อนปิดเทอม แยกย้ายไปทุกอำเภอ ตั้งแต่เส้นทางใกล้ไปหาไกล อำเภอเมืองสกลนคร กุสุมาลย์ โพนนาแก้ว โคกศรีสุพรรณ เต่างอย ภูพาน กุดบาก นิคมน้ำอูน วาริชภูมิ ส่องดาว อากาศอำนวย พรรณานิคม พังโคน วานรนิวาส สว่างแดนดิน เจริญศิลป์ บ้านม่วง คำตากล้า ทุกเส้นทางมีความสวยงามจากธรรมชาติป่าเขา ห้วยหนองคลองบึง ทำให้โลกทัศน์ของผมในการทำงานมีแนวทางใหม่ๆ และมองเห็นภาพต่างๆได้กว้างไกลมากขึ้น ยุทธวิธีในการทำงานเป็นเรื่องที่ไม่ยุ่งยากเช่นการทำโครงการในจังหวัดแรก และจังหวัดที่สอง เนื่องจากผมมีประสบการณ์ที่มากมายตามลำดับ ความเข้าใจในวิธีคิดของข้าราชการ วิถีชีวิตของผู้คนในภาคอีสาน ประเพณีต่างๆที่เกิดขึ้นในแต่ละแห่ง รูปแบบการปฏิบัติงานไม่ต่างไปจากที่เคยทำ ตื่นแต่เช้าเข้าพบแต่ละโรงเรียน สองแห่งในช่วงเวลาเดียวกัน กระจายงานประชาสัมพันธ์เป็นกลุ่ม ขยายวงกว้างออกไปให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ประกอบการใช้เอกสารโบชัวร์ต่างๆ เพื่อสื่อสารให้ทุกโรงเรียนทราบ ผ่านช่องทางของสำนักงานการประถมศึกษาอำเภอ เก็บใบสมัครจากงานฝ่ายบริหารเป็นระยะ พร้อมเพิ่มเติมเอกสารสำรองไว้เพื่อให้ผู้ที่สนใจใช้สิทธิ์สมัครเข้าร่วมโครงการ ช่วงค่ำถึงกลางดึกเป็นเวลาที่เก็บข้อมูลเข้าระบบคอมพิวเตอร์ พร้อมปริ้นซ์รายชื่อผู้เข้าร่วมโครงการเพื่อไว้ใช้อ้างอิงให้ข้าราชการในโรงเรียนแห่งใหม่มีความมั่นใจว่า มีสมาชิกจำนวนมากเกิดขึ้นแล้ว และโครงการนี้จะได้รับความคุ้มครองอย่างแน่นอนในวันที่กำหนดไว้ล่วงหน้า ก่อนปิดเทอมผมและทีมงานต้องจัดเวลาส่วนหนึ่งนำใบรับรองสมาชิกของจังหวัดอุดรธานีไปมอบให้ทั้งหมด 20 อำเภอ พร้อมถ่ายภาพไว้เป็นที่ระลึก และเก็บไว้สำหรับทำการประชาสัมพันธ์ในโอกาสต่อไป

งานประชาสัมพันธ์ในโครงการจังหวัดสกลนคร ใช้เวลาค่อนข้างมาก เพราะเป็นช่วงปิดภาคการศึกษา ทำให้ผมมีเวลาในการกลับมาทำหน้าที่ดูแลลูกค้าเก่าที่กรุงเทพฯ และอีกหลายๆแห่งในหลายจังหวัด ลูกค้าทุกคนที่ทำประกันไว้กับผมมีความยินดีที่ผมไปทำการขยายตลาดต่างจังหวัด เป็นการเติบโตในด้านการทำงาน พร้อมให้กำลังใจสำหรับการทำงานที่ต้องห่างไกลบ้านเรือนเป็นระยะเวลานานขนาดนี้ บางท่านบอกไว้ ไม่มีเรื่องใดที่สำคัญก็ไม่ต้องลงมาดูแล การจ่ายเบี้ยประกันทำได้ง่ายๆ ผ่านแบ๊งค์ ผ่านเคาน์เตอร์เซอร์วิส หรือผ่านช่องทางอื่นๆได้มากมาย กรณีที่เจ็บป่วยหนัก หรือเกิดเหตุที่ร้ายแรงสุดวิสัย ค่อยมาทำหน้าที่ให้สมบูรณ์ด้วย ผมต้องขอขอบพระคุณลูกค้าและผู้มีอุปการคุณทุกท่านที่เข้าใจและให้ความเมตตาตลอดมา งานบริการเป็นงานที่บอกไม่ได้ครับว่าจะเกิดขึ้นตอนไหน เวลาใด เพียงเดือนแรกของการทำงาน สมาชิกโครงการประกันหมู่ที่จังหวัดอุดรธานีในเขตอำเภอนายูงมีการเคลมเสียชีวิตจากการเจ็บป่วย

เพียงช่วงเวลาไม่นานบริษัท เอไอเอ ออกเช็คสินไหมมาให้และผมนำกลับไปมอบให้กับผู้รับประโยชน์ ตามที่ระบุไว้ในใบสมัคร เป็นหน้าที่ของพวกเราที่ต้องดูแลกันตลอดไป เหตุการณ์ต่อมาเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นข่าวสะเทือนใจในอำเภอกุดจับ เนื่องจากลูกเขยไม่พอใจพ่อตาของตนทำร้ายร่างกายจนพ่อตาเสียชีวิต และหนีไป ผู้ตายเป็นสมาชิกในโครงการสวัสดิการประกันหมู่ ผมได้ทำเรื่องทั้งหมดให้ และทำหน้าที่อีกครั้งในการนำเช็คสินไหมหนึ่งแสนกว่าบาทไปมอบให้กับทายาทที่ระบุไว้เป็นผู้รับประโยชน์

สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นได้สร้างความมั่นใจให้กับข้าราชการจำนวนมาก ที่ได้รับทราบข่าวสาร หลายท่านต้องการสมัครเข้าร่วมโครงการเพิ่มเติม แต่ยังไม่ครบกำหนดการเปิดรับสมัคร ต้องรอคอยอีกประมาณเกือบปี ผมนึกถึงคำกล่าวของคุณพิทยา ลิปิพิพัฒนวงศ์ ผู้ช่วยรองประธานฝ่ายประกันหมู่ กล่าวไว้ว่าวันหนึ่งข้างหน้า เราจะเป็นวีระบุรุษในหัวใจของพวกเขา ถูกแล้วครับ วันนี้เป็นวันที่ยังไม่มีใครรู้หรอกว่า สิ่งที่พวกเรากำลังทำอยู่นี้มีประโยชน์อะไรบ้าง และมีคุณค่าอย่างไร หากวันหนึ่งเมื่อถึงเวลาที่สวัสดิการเพิ่มเติมที่พวกเขาตัดสินใจทำไว้ เกิดประโยชน์กับเขาในทางใดทางหนึ่ง คุณค่า ณ เวลานั้นก็จะมีความหมายทันที สำหรับเหตุการณ์ด้านจังหวัดนครพนม อำเภอโพนสวรรค์ สมาชิกผู้เข้าร่วมโครงการท่านหนึ่งเกิดอุบัติเหตุถูกรถยนต์ชน ขณะขับขี่รถมอเตอร์ไซค์ ผู้รับประโยชน์ได้รับมอบเงินจำนวน 102,874 บาทจากการเข้าร่วมโครงการเดือนละ 178 บาท ผมได้ทำหน้าที่เรียกร้องสินไหมให้เป็นที่เรียบร้อย ในฐานะผู้ประสานงานโครงการสวัสดิการประกันหมู่

ช่วงเวลาปิดเทอมนี้ แม้ผมและทีมงานต้องรอคอยการลงพื้นที่ แต่การประชุมชี้แจงตามสำนักงานการประถมศึกษาสามารถทำได้ ปลายเดือนมีนาคม ถึงกลางเดือนพฤษภาคม 2542 ประชุมแต่ละแห่งได้เกือบครบ คงเหลือส่วนน้อยที่ต้องรอ เนื่องจากบางแห่งอยู่ห่างไกลกันมากคนละเส้นทาง เมื่อวันประชุมตรงกัน จึงต้องเลื่อนไปประชุมใหม่ในเดือนถัดไป เมื่อเปิดเทอมเรียบร้อย พร้อมแล้วสำหรับการทำงานของพวกเรา ทุกวันเรามุ่งหน้าประชาสัมพันธ์อย่างเต็มกำลัง โครงการที่มีการตอบรับในระดับจังหวัด สู่ระดับอำเภอ และเอกสารถูกส่งมายังโรงเรียนต่างๆอย่างสมบูรณ์ จำนวนผู้สมัครเริ่มมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ จากวันที่เริ่มต้นรับสมัครจนถึงปลายเดือนมิถุนายน 2541 จำนวนผู้สมัครที่รวบรวมได้หนึ่งพันสี่ร้อยกว่าราย สำหรับผมมีความพอใจในระดับหนึ่ง แต่เป้าหมายที่ต้องทำกำหนดไว้ที่ประมาณ สองพันกว่าราย ทำให้การรณรงค์ยังคงมีความต่อเนื่อง เพื่อรวบรวมส่งบริษัทภายในกลางเดือน กรกฎาคม 2541 ช่วงเวลาที่ดีเช่นนี้เพื่อนข้าราชการครูด้วยกันช่วยกันบอกต่อและชวนเพื่อนครูเข้าร่วมโครงการมากขึ้น

แต่สถานการณ์ด้านงานบริหารมีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่มีความกังวลเรื่องบางอย่างที่ตนเองเคยประสบเหตุการณ์จากตัวแทนประกันชีวิตคนหนึ่งที่สร้างรอยจารึกไว้ในความทรงจำของท่านเกี่ยวกับเรื่องการเงิน ทำให้ท่านปรารภอยู่เสมอๆว่า การทำโครงการลักษณะนี้ หากทำดีก็ดีไป แต่ถ้ามีเรื่องเสียหายเกิดขึ้นมา ฝ่ายบริหารก็ต้องโดนตำหนิจากเพื่อนข้าราชการครูอย่างมากมาย ไม่แน่ใจนักว่าการจัดทำโครงการนี้จะมีความเป็นไปได้หรือไม่ สิ่งบอกเหตุที่เริ่มปรากฎขึ้นมาทำให้ผมเริ่มตระหนักรู้แล้วว่า งานนี้น่าจะไม่ง่ายเสียแล้ว ผมจึงใช้ความพยายามเพิ่มเติมในการทำความเข้าใจให้แต่ละฝ่ายได้เห็นประโยชน์ของโครงการ และแล้วการรณรงค์ก็ถึงวันที่ต้องสรุปจำนวน เพื่อทำการเสนอเรื่องให้กับทางจังหวัดได้ดำเนินการต่อไป คราวนี้ของจริงก็ปรากฎชัดเจน ทางฝ่ายบริหารขอทำเรื่องทบทวนการจัดทำสวัสดิการภายใน วันที่นัดหมายผมต้องรอคอยการประชุมอย่างกระวนกระวายใจ ท่ามกลางการประชุมจัดทำแผนการเงินของทางจังหวัดที่มีท่านผู้อำนวยการการประถมศึกษาจังหวัดเป็นประธาน ตลอดวันเวลาของวันนั้นที่ผมนั่งรอเรื่องราวที่คณะกรรมการฝ่ายบริหารประชุมกันอีกห้องหนึ่งนั้น การนั่งรอในสถานที่ราชการที่เป็นสถานที่เปิดเผย ผู้คนเดินเข้าออกตลอดเวลา ทุกคนที่ไปมารู้จักพวกเราทุกคน หรือแม้แต่ผู้ที่เข้ามาติดต่อราชการเป็นผู้ที่พวกเราเคยพบในโรงเรียน หรืออำเภอต่างๆ มีบางคนแซวเราเล่นๆสนุกๆว่า สงสัยต้องทำห้องไว้ซักห้องให้เอไอเอก็ดีนะ หรือแซวว่า ตอนนี้มาประจำอยู่ที่นี้แล้วเหรอ การพูดคุยแม้จะด้วยอัธยาศัยที่ดีงาม แต่ภายในสถานการณ์เช่นนี้ ส่วนลึกของผมยังไม่มีความสดชื่นใดๆ จากเช้า เที่ยง พวกเราทานอาหารที่ร้านใกล้ๆตรงนั้น ตลอดช่วงบ่าย นาทีที่ทำให้ผมต้องจดจำนั่นคือ ฝ่ายบริหารได้เรียกผมเข้าไปพบพูดคุย และอธิบายให้ทราบว่า เมื่อพิจารณาแต่ละอย่างแล้ว คงต้องบอกให้ผู้ประสานงานโครงการได้ทราบว่าโครงการนี้ยังไม่ผ่านการพิจารณาให้ทำได้ แม้ว่าผมจะอธิบายเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบันอย่างไรก็ตาม ก็ได้รับคำตอบว่า เพื่อป้องกันปัญหาในอนาคตที่อาจจะเกิดขึ้น และหลีกเลี่ยงเหตุการณ์ที่คล้ายกับตนเองเคยพบเจอมาตั้งแต่ครั้งอดีต ผมได้ยินเช่นนั้น สำหรับผมมึนไปทันที สมองเกิดความสับสน ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี รู้แต่เพียงอย่างเดียวว่า อยากพบท่านผู้ใหญ่ที่ผมมีความเคารพศรัทธาในตัวท่าน ผู้อำนวยการการประถมศึกษาจังหวัด ที่มีบุคคลิกลักษณะคล้ายกับคุณพ่อของผม ผมนั่งรอท่านโดยหวังว่าจะพบกับท่านสักครั้งในวันนี้ เพราะตั้งแต่เช้าจรดบ่ายยังไม่เห็นท่านเดินออกมาจากห้องประชุมเลย ใครๆก็พากันกล่าวถึงท่านว่า เป็นผู้เฒ่าไม้บรรทัดทองคำ มีความยุติธรรม ตรงไปตรงมา และไม่มีประวัติใดๆให้ใครได้ว่าท่านได้ แต่ละนาทีและชั่วโมงที่ผ่านไป ผมเฝ้ารอคอยอยู่ตรงนั้น ทางเข้าออกของสถานที่ราชการ เจ้าหน้าที่บางท่านให้ความเห็นใจ บางคนหากาแฟ น้ำมาให้ทาน แวะมาพูดคุยเป็นครั้งคราว ปลอบใจและให้ความหวังที่จะผ่านขั้นตอนต่างๆไปได้ ใช่แล้วครับ ผมก็มีความหวังเช่นนั้น จากบ่ายจรดเย็น เจ้าหน้าที่ประจำสำนักงานกลับบ้านกันไปหมดแล้ว ผมและคุณวาสนา พุ่มมั่นยังคงนั่งอยู่ที่นั่น ด้วยใจจดจ่อรอพบท่านผู้มีอำนาจขององค์กร เพราะผมมีความเชื่อว่า ในการประชุมใดๆ หากเป็นการประชุมต่อเนื่อง บางครั้งการทานอาหาร หรือกาแฟอาจจำเป็นทานในบริเวณใกล้เคียงได้ แต่เรื่องที่จำเป็นของมนุษย์และต้องมีโอกาส นั่นคือการใช้ห้องน้ำเพื่อการขับถ่าย การรอของผมคือการรอพบท่าน หากท่านต้องออกมาเข้าห้องน้ำสักครั้งก็ยังดี เป็นความคิดที่ถูกต้องในเย็นนั้นใกล้เวลาหกโมงแล้ว ท่านผู้อำนวยการฯ ได้ออกมาเข้าห้องน้ำ พบเราทั้งสองคน ท่านยิ้มให้ด้วยความเมตตา หลังท่านเสร็จภารกิจส่วนตัวท่านจึงถามว่า เป็นอย่างไรบ้างล่ะโครงการ ผมจึงบอกท่านไปว่าโครงการรับสมัครเรียบร้อยดีมาก ข้าราชการทุกอำเภอ ทุกโรงเรียนให้ความสนใจเข้าร่วมโครงการเป็นอย่างดี ท่านถามต่อว่าแล้วเรื่องของคณะกรรมการเขาว่ากันอย่างไร ตอบท่านตามความจริงว่า ไม่ผ่านการพิจารณา เขาให้ยกเลิกการทำโครงการครับ ท่านรับฟังและนิ่งสักอึดใจ และบอกกับผมว่า ในการประชุมสภา มีหลายเรื่องที่ไม่ผ่านการพิจารณา ถูกนำกลับมาทบทวนใหม่ ลองดูก็ได้ ผมจึงขออนุญาตท่านว่า ถ้าเช่นนั้นพรุ่งนี้ผมขออนุญาตท่านมาประชุมชี้แจงอีกครั้งได้หรือไม่ ท่านจึงบอกให้ผมทราบอีกว่า พรุ่งนี้ท่านมีประชุมนัดเปิดงานที่แห่งหนึ่ง ท่านต้องออกเดินทางประมาณสิบโมงเช้า ผมจึงขออนุญาตท่านว่า ก่อนถึงเวลานั้น ผมขออนุญาตท่านได้หรือไม่ ท่านจึงบอกว่า ถ้าเช่นนั้นเป็นช่วงแปดโมงครึ่งก็ได้นะ จะเชิญคณะกรรมการมาพูดคุยอีกครั้ง ผมจึงกราบขอบพระคุณท่านที่ให้ความเมตตา แล้วท่านก็เดินจากไปเพื่อเข้าประชุมกับเจ้าหน้าที่ในเรื่องการเงินต่อไป

ทั้งดีใจที่ได้รับโอกาสเล็กๆจากท่านผู้ใหญ่ที่มีคำชี้แนะให้ ทั้งหนักใจยิ่งกว่าการย้ายภูเขาทั้งลูก ผมขับรถกลับที่พักพร้อมแวะร้านขายบุหรี่เป็นครั้งแรก อย่าแปลกใจนะครับ สำหรับเพื่อนรักนักอ่านที่ได้อ่านหนังสือมาถึงตรงนี้ ณ นาทีเหล่านั้นผมยอมรับอย่างเต็มหัวใจว่าเกิดความเครียดอย่างมาก แม้จะเคยได้อ่านหนังสือของเดล คาร์เนกีว่าด้วยวิธีการชนะทุกข์และสร้างสุขมาแล้วก็ตาม ผมกำลังพิจารณาว่าผมควรจะทำอะไรก่อน หลัง ผมจะนำเสนอเรื่องใดบ้างเพื่อให้คณะกรรมการทุกท่านยอมรับ เข้าใจ และพากันเห็นชอบในการจัดทำโครงการสวัสดิการประกันหมู่ ผมนึกถึงวันเวลาที่ทุ่มเทไปตั้งแต่วันแรกที่เข้าพบกับท่านผู้อำนวยการการประถมศึกษาจังหวัดสกลนคร วันที่ 22 ธันวาคม 2541 ผมใช้เวลาทำงานที่นี่อย่างทุ่มเทในช่วงเวลาหลายเดือน ทั้งรอคอยจังหวะเวลาของการปิดเทอม และการเปิดเทอมเพื่อเข้าพบข้าราชการแต่ละโรงเรียนได้อย่างเต็มที่ ค่าใช้จ่ายมากมายที่เกิดขึ้น ความคาดหวังที่มีมากมายเหลือเกิน ความปรารถนาดีที่ต้องการสร้างสิ่งที่ดีงามให้เกิดขึ้นกับคนหมู่มาก ผมสูบบุหรี่อย่างหนักในวันนั้น พูดคุยเรื่องราวบางส่วนให้ฝ่ายประกันหมู่ได้รับทราบ สั่งการให้คุณวาสนา นำเอกสารบางอย่างไปเตรียมถ่ายเพิ่มเติมเพื่อแสดงให้คณะกรรมการดูในวันพรุ่งนี้ ทุกช่วงเวลา ทุกวินาที เป็นเวลาที่ผมใช้สมองทำงานอย่างต่อเนื่อง วางโครงร่างการจัดเสนอ เขียนรายการต่างๆที่ต้องทำ พยายามพิจารณาทั้งผลได้ผลเสีย เขียนทีบาร์ ด้านดี ด้านร้าย ตามแนวทางการจัดการที่เรียนรู้จากหนังสือวิธีชนะทุกข์และสร้างสุขอีกครั้ง ตั้งสติทบทวนทุกสิ่งทุกอย่าง คิดคำนึงไปถึงหัวใจของคณะผู้บริหารแต่ละท่านว่า ท่านจะมีข้อสงสัยในด้านใดบ้าง และจะนำเรื่องราวใดๆมาอธิบาย บทเพลงของอินคา ดังก้องในโสตประสาทของผม ซึ่งเพลงนี้ผมฟังเสมอๆ เป็นเพลงที่มีความหมายอย่างมากสำหรับงานของพวกเรา เป็นเพลงที่ปลุกเร้าจิตใจให้ฮึกเหิม เตือนตนให้สู้ และก้าวต่อไป

“ บุกตะลุย จะคว้า เอาชัย รุกเข้าไป จนใกล้ จนเกือบถึง ลมเต็มแรง จวนเจียนจะหมดกำลัง บุกมานาน จนใกล้จะยอม ถ้าในใจยอมแพ้ คงจบกัน ทำกันมานมนาน ไม่มีประโยชน์ ถ้าหากยอมแพ้ ก็เหนื่อยฟรี ถ้าหากยอมแพ้ ก็หมดกัน ไม่มีการแก้ตัว อุตส่าห์ทำไว้ก็ป่วยการ อุตส่าห์ทำไว้ก็หมดตัว แล้วอยู่อยู่จะมายอมแพ้ ได้ยังไง ฮึดหน่อย อีกนิดเดียว เดี๋ยวเดียวเท่านั้น ฮึดหน่อย ก็แล้วกัน ฮึดมันเข้าไว้ ฮึดหน่อย อีกครั้งเดียว ครั้งเดียวได้ไหม ฮึดหน่อย อีกไม่ไกล ต้องไปให้ถึง ”

คืนนั้นแม้จะเกินเที่ยงคืนแล้วก็ตาม ร่างกายสมควรได้รับการพักผ่อน ปิดไฟดับสนิททั่วทั้งห้องอยู่ในความมืด แต่ภายในจิตใจของผมยังสว่างโพลนตลอดเวลา เผลองีบได้ชั่วขณะ จิตก็ตื่นมาทบทวนว่า เอกสารที่มีอยู่นั้นเพียงพอแล้วหรือไม่ ใบสมัครสองพันกว่ารายที่มีอยู่ แม้จะถือไปให้ดูก็คงเกิดประโยชน์ไม่มาก แต่…แต่ถ้ารายชื่อทั้งหมดนี้ถูกปริ๊นซ์ออกไปทั้งหมด โดยแยกอำเภอ แยกโรงเรียนแต่ละแห่ง อาจเป็นประโยชน์ให้คณะกรรมการได้เห็นความตั้งใจของคณะครูที่มีความต้องการสวัสดิการประกันหมู่ที่จัดทำขึ้นมา คำนวณการปริ๊นซ์เอกสารจากเครื่อง Epson LQ200 จำนวนนาทีต่อหน้า และต้องพิมพ์ต่อเนื่องประมาณ 200 กว่าหน้าและต้องพิมพ์ประมาณ 2-3 ชุด เช็คเวลาจากตี 3 กว่าๆ หากจะเสร็จคงประมาณ 08.00 น.เอาละ ถ้าคิดจะทำ ต้องลงมือ นั่นแปลว่าต้องเร่งทำทันที เดี๋ยวนี้ ผมนั่งจัดแต่งเอกสารในการพิมพ์ พร้อมปริ้นซ์งานอย่างต่อเนื่อง คุณวาสนา เป็นลูกมือในการจัดคัดแยก และเย็บรวมเป็นชุดต่างๆ 07.30น.อาบน้ำชำระร่างกายในขณะที่เครื่องพิมพ์กำลังทำงานอย่างหนักและสม่ำเสมอตลอดค่อนแจ้ง จนถึงเวลานี้ ทุกอย่างเรียบร้อยพร้อมออกเดินทางมาสำนักงานการประถมศึกษาจังหวัด 08.00 น.นั่งรออยู่หน้าห้องท่านผู้อำนวยการ โดยท่านเดินทางมาถึงเรียบร้อยแล้ว และทราบว่ากว่าท่านจะเลิกประชุมวันก่อนเกือบสองทุ่ม นั่นหมายถึงท่านเองก็คงพักผ่อนได้ไม่มาก ท่านได้ให้เจ้าหน้าที่เชิญคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมเฉพาะกิจ ตั้งแต่เวลา 08.30 น.เป็นต้นไปภายใต้เวลาที่มีอยู่อย่างจำกัด เริ่มจากการที่ให้ผมได้ชี้แจงเรื่องราวต่างๆ พร้อมแจกเอกสารประกอบการบรรยาย อาทิเช่น รายชื่อผู้สมัครเข้าร่วมโครงการจำนวน 2,000 กว่าราย ภาพข่าวประชาสัมพันธ์จากจังหวัดใกล้เคียง ในเรื่องการเสียชีวิต การจ่ายค่าชดเชยสินไหมต่างๆ เมื่อเสร็จสิ้นการบรรยายของผม รับฟังความคิดที่ต่างของคณะกรรมการ ที่กังวลการผิดพลาดเรื่องการเงินที่เคยพบเจอมาแต่ครั้งอดีตที่ผู้อื่นได้เคยกระทำ ความกังวลว่าคุณพิชิต พิศนุภูมิ อาจเป็นบุคคลที่เคยสร้างความเสียหายจากที่ใดที่หนึ่งมาก่อน แล้วมาชุบตัวใหม่ในที่นี่ หรืออาจมีบางอย่างที่สร้าง ปรุงแต่งขึ้นมาเพื่อโฆษณาชวนเชื่อ ในอนาคตคาดเดายากว่าจะยังมีความต่อเนื่องของสัญญาที่รับผิดชอบเช่นเดิมหรือไม่ ตลอดการประชุมท่านผู้อำนวยการฯ ได้ให้โอกาสคณะกรรมการทุกท่านสอบถามข้อสงสัย สอบถามเรื่องต่างๆทุกแง่มุม ทั้งเรื่องงานในหน้าที่ หรือชีวิตทั้งการทำงานก่อนหน้าที่จะมาทำงานในเอไอเอ ท่านถามทุกๆคนย้ำแล้วย้ำอีกให้พูดคุยครั้งนี้ให้หายสงสัยกันให้ได้ และจะสรุปกันอย่างไร ทุกท่านไม่ตอบเพียงอยู่ในความเงียบ ผมได้ปวารณาตัวเองให้ทุกๆท่านได้รับรู้ถึงอุดมการณ์ ปณิธานที่ตั้งใจ โดยขอยึดมั่น สัญญา ขอเอาศีรษะเป็นประกัน พร้อมขอโอกาสให้ผมได้รับใช้ และพิสูจน์ผลงานที่จะมีขึ้นในวันข้างหน้า เมื่อถึงช่วงสุดท้ายภายในความเงียบที่ไม่มีคำตอบ ท่านผู้อำนวยการการประถมศึกษาจังหวัด ได้กล่าวสรุปไว้ว่า เมื่อถึงเวลานี้พวกเราที่มีข้อสงสัยได้รับคำตอบอย่างชัดเจนแล้ว เพื่อเป็นประโยชน์สำหรับข้าราชการครูจังหวัดสกลนคร จึงขอให้โครงการนี้ที่พิจารณาแล้วว่าน่าจะเป็นประโยชน์ให้กับจังหวัดนี้เช่นกัน เหมือนดังที่เคยเป็นประโยชน์ให้กับข้าราชการจังหวัดนครพนม จังหวัดอุดรธานี และอีกหลายจังหวัดที่เคยมีการจัดทำมา หากในวันข้างหน้าที่ผมไม่ได้ดำรงตำแหน่งตรงนี้แล้ว ต้องการพิจารณาทบทวนกันใหม่เป็นเรื่องที่นำไปพิจารณาได้ สำหรับครั้งนี้มองเห็นเจตนาและความมุ่งมั่นของผู้ประสานงานโครงการ คุณพิชิต พิศนุภูมิ ขอให้ดำเนินการต่อไป ผมจึงกราบขอบพระคุณท่านผู้อำนวยการการประถมศึกษาจังหวัดสกลนคร คณะกรรมการทุกๆท่าน ทั้งฝ่ายบริหาร ฝ่ายการเงิน และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ได้ให้โอกาสสำหรับผมในการทำงาน ที่ประชุมจึงสรุปให้ทำหนังสือยินยอมในแบบฟอร์มของสำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดสกลนคร เพื่อความถูกต้อง และมีความชัดเจนสำหรับโครงการที่จัดทำขึ้นในครั้งนี้ พร้อมจัดส่งไปให้สำนักงานการประถมศึกษาอำเภอ เพื่อส่งต่อไปยังโรงเรียนทุกโรงเรียนที่มีข้าราชการครูสมัครใจเข้าร่วมโครงการ และรีบจัดส่งมาให้ภายในสัปดาห์ถัดไป

เกือบจะพ่าย งานนี้ สุดที่ถอย แต่ฮึดหน่อย ด้วยใจแกร่ง แข็งใจสู้ สติมั่น ฝ่าฟัน เข้าพันตู เพราะว่ารู้ อยู่ในใจ ให้สิ่งดี ถ้าทำงาน หวังเพียงเงิน คงเดินจาก แต่หวังมาก คุณธรรม นำวิถี อยากจะให้ โลกรู้ สู้ทำดี มาที่นี่ เพื่อสร้างฝัน อันเกรียงไกร รับไว้เถิด น้ำใจ ที่ใหญ่ยิ่ง เป็นความจริง ที่จะเห็น เด่นสดใส ใช่วันนี้ แต่วันหน้า ใช่ว่าไกล ขอตั้งใจ มุ่งมั่น นิรันดร 12 ก.ค.42 เวลา 10.15 น.

นับเป็นความร่วมแรงร่วมใจจากเจ้าหน้าที่ทุกอำเภอ ทุกโรงเรียนอย่างแข็งขัน เพียงใช้เวลาประมาณสัปดาห์เศษ หนังสือยินยอมให้หักเงินเดือน จากสมาชิกทุกท่าน พร้อมคำรับรองจากผู้บังคับบัญชาจากทุกโรงเรียน และหัวหน้าการประถมศึกษาอำเภอถูกส่งมายังสำนักงานการประถมศึกษาจังหวัด ทำให้ผมส่งงานทั้งหมดไปยังฝ่ายพิจารณารับประกันกลุ่มบริษัท เอไอเอ และทำพิธีลงนามสัญญาประกันหมู่ในวันที่ 12 กรกฎาคม 2542 มีจำนวนสมาชิก 2,031 ราย เบี้ยประกัน 453,116 บาท เริ่มความคุ้มครอง 1 สิงหาคม 2542 เป็นต้นไป ขอกราบขอบพระคุณท่านผู้อำนวยการการประถมศึกษาจังหวัดสกลนครเป็นอย่างสูงสำหรับความกรุณาที่ท่านมีให้กับผม พร้อมด้วยข้าราชการทุกท่านในจังหวัดสกลนคร ทำให้สิ่งที่ดีงามได้เกิดขึ้นด้วยความมีเมตตาธรรมจากท่านผู้ใหญ่ที่ใจดีของทุกๆคน

การบริการเป็นงานของเรา ระหว่างการทำโครงการประกันหมู่จังหวัดสกลนคร เป็นช่วงเวลาเดียวกับการเปิดรับสมัครโครงการสวัสดิการประกันหมู่จังหวัดนครพนม รอบที่ 2 เป็นเรื่องที่ไม่ยุ่งยากเหมือนเช่นครั้งแรก ในรอบนี้ข้าราชการครูหลายท่านได้ให้สัมภาษณ์ความประทับใจที่เคยใช้บริการเรียกร้องค่าชดเชยหลายวัน ตั้งแต่ 3-5 วัน มากกว่า 10 วัน ล้วนได้รับผลประโยชน์จากการเรียกร้องตามสัญญา หากท่านใดถูกปฏิเสธจากข้อยกเว้นที่ระบุไว้ในสัญญา เมื่อได้รับฟังคำอธิบายว่าเป็นเงื่อนไขที่กำหนดไว้ เช่นการเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นจากความเครียด การแท้งบุตร การเจ็บป่วยที่เกิดจากการเป็นมาแต่กำเนิด ฯลฯ ทุกท่านพอใจในคำตอบที่พวกเรามีให้อย่างชัดเจน ทั้งข้าราชการครู พร้อมด้วยข้าราชการตำรวจ ต่างให้ความร่วมมือสมัครเข้าร่วมโครงการมาอย่างต่อเนื่อง บางโรงเรียนที่ได้เข้าไปพบเป็นครั้งแรก (มีโรงเรียนจำนวนมากแต่ละอำเภอ ทำให้เข้าประชาสัมพันธ์ในปีแรกได้ไม่ทั่วถึง) ข้าราชการบางท่านรู้สึกดีใจที่ได้มีโอกาสพบคุณพิชิต พิศนุภูมิ ตัวจริงเสียงจริงสักที นั่นคือสิ่งที่ผมมีความปลื้มใจสำหรับการต้อนรับที่อบอุ่น การสมัครเข้าร่วมโครงการจึงนับเป็นเกียรติที่ข้าราชการครูได้มอบให้กับผมสำหรับการทำงาน

วงล้อการทำงานของ G.E.178ต่อมาได้ปรับเปลี่ยนเป็น G.E.170 ได้หมุนวนเป็นรอบอย่างมีจังหวะที่เหมาะสม จบโครงการรอบสองที่นครพนม เริ่มเข้าสู่วัฎจักรการทำงานที่จังหวัดอุดรธานี มีข้าราชการหลายคนที่ให้ความสนใจอยากเป็นตัวแทนร่วมทำงานกับผม ซึ่งสร้างความยินดีอย่างยิ่งให้ แต่ผมต้องแสดงความขอบคุณทุกๆท่าน พร้อมแนะนำให้แต่ละท่านเข้าพบสำนักงานในพื้นที่ ที่พวกเขาพักอาศัย ดังที่จังหวัดอุดรธานี ก็เชิญให้ติดต่อคุณชัยณรงค์ ศรีแสนยงค์ และที่นครพนม ก็เป็นสำนักงานคุณส่องหล้า ตันสังวรณ์ มีบ้างที่ลูกค้าจากกรุงเทพฯ อยากซื้อประกันเพิ่มเติม ผมต้องขออนุญาตให้ท่านนั้นรอคอย เพื่อการกลับไปทำหน้าที่ หรือเพื่อนทหารเรือต้องการซื้อประกันให้ลูก หรือตนเอง ก็แนะนำให้ซื้อกับตัวแทนในอำเภอนั้นๆ ด้วยลักษณะการทำงานในช่วงเวลาเหล่านี้ คล้ายเป็นตัวแทนที่เย่อหยิ่ง ไม่สนใจในการสร้างตัวแทนเช่นนั้นหรือ ไม่อยากขายประกันเหมือนเดิมหรือ ถึงตอนนี้ อยากเรียนให้ทุกท่านที่ติดตามงานเขียนของผมได้ทราบว่า การทำงานโครงการประกันหมู่ เป็นงานที่ต้องอาศัยระยะเวลาการทำงานที่มีอยู่อย่างจำกัด ต้องประชาสัมพันธ์ไปทุกพื้นที่ ประสานงานกับฝ่ายต่างๆ ตรวจสอบข้อมูลแต่ละอย่าง และส่งมอบใบสมัครให้กับบริษัท เอไอเอ พร้อมทั้งทำเรื่องการหักเงินเดือนค่าเบี้ยประกัน พร้อมออกแบบการบริการให้สมาชิกที่เข้าร่วมโครงการมีความเข้าใจ และสามารถบริการตนเองได้อย่างถูกต้อง เพื่อการพิจารณาอนุมัติสินไหมได้รวดเร็ว งานทั้งหมดที่ต้องทำภายใต้การบริหารจัดการที่ผมต้องออกแบบระบบให้มีความง่ายต่อการปฏิบัติ เพื่อให้ทีมงานสามารถสานต่อได้ เวลาที่ต้องทุ่มเทยังมีไม่เพียงพอ แม้จะอยากได้คน อยากได้งานรายปี แต่เวลาที่พวกเราล้วนมีเท่ากัน ไม่สามารถจัดสรรไปทำเรื่องต่างๆ ได้

ผมวิ่งไปทำงานจังหวัดอุดรธานี ในการประชาสัมพันธ์รอบสอง เหตุการณ์เจ็บป่วยทำเรื่องเคลมส่งเข้าสำนักงานที่สมุทรปราการเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง หากเกิดกรณีอุบัติเหตุเสียชีวิต เมื่อทำเรื่องเรียกร้อง และบริษัททำเช็คสินไหมเรียบร้อย ผมจะเดินทางไปมอบเช็คสินไหมโดยให้ท่านผู้อำนวยการการประถมศึกษาจังหวัด หรือหัวหน้าการประถมศึกษาอำเภอ เป็นผู้มอบสินไหมให้กับทายาท ซึ่งทั้งหมดนี้คือความรัก ความห่วงใยของผู้บังคับบัญชาที่ได้เห็นประโยชน์ของสวัสดิการที่ข้าราชการในสังกัดควรจะได้รับ เพียงให้ความอนุเคราะห์ให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการช่วยหักเบี้ยประกันที่ข้าราชการผู้สมัครใจเข้าร่วมโครงการ เหตุการณ์ที่เป็นข่าวทางหน้าหนังสือพิมพ์ เมื่อรถประจำทางได้ประสานงากับรถพ่วงสิบล้อที่ถนนสายสมเด็จ-กาฬสินธ์ ทำให้ข้าราชการครูท่านหนึ่งที่เดินทางเข้ากรุงเทพฯ เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ จากอุบัติเหตุสาธารณภัยครั้งนี้ เอไอเอ ทำเช็คสินไหมมอบให้กับบุตรสาวของข้าราชการครูท่านนี้ จำนวน 200,000 บาท เป็นผลงานที่ฝ่ายบริหารได้ประจักษ์ถึงความเป็นประโยชน์ของโครงการสวัสดิการประกันหมู่ ที่คณะกรรมการได้ตัดสินใจให้โครงการนี้ได้มีขึ้น

โปรดติดตามเส้นทางการทำงานตอนต่อไป เป็นจุดกำเหนิดของทีม “แผ่นดินทอง”

ตอนที่ 10 ไปให้ไกลกว่าที่ฝัน

เรื่องเล่าของข้าพเจ้า ตอนที่ 10

บางทีคนเราก็มีความคิด ณ ปัจจุบันเพียงแค่กรอบจำกัด ด้วยศักยภาพที่เคยรับรู้จากเรื่องราวที่ผ่านมา เมื่อถึงจังหวะเวลาหนึ่ง โอกาสของงาน สายลมแห่งโชคชะตา ก็จะเริ่มเดินทางเข้ามาทักทายคุณ เพื่อเชิญชวน พร้อมมีการท้าทายความสามารถของตัวคุณว่า มีความกล้าที่จะไปให้ไกลกว่าที่เคยเป็นสักแค่ไหน ชีวิตคือการต่อสู้ เป็นชีวิตที่มีการเดินทางอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ลมหายใจที่มีอยู่ในแต่ละวันกำลังสร้างคุณค่าให้เกิดขึ้นในรูปแบบไหนบ้าง ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของตัวคุณเอง

เดิมมีความตั้งใจว่า จะไปเปิดโครงการสวัสดิการประกันหมู่แถวภาคกลางบ้าง เพื่อหวนกลับคืนสู่มาตุภูมิเดิมคือจังหวัดชัยนาท แต่ก็น่าเสียดายนักที่มีโครงการแบบนี้เกิดขึ้นแล้ว ทำให้ต้องแจวไปเลียบๆเคียงๆจังหวัดใกล้ๆคือจังหวัดอุทัยธานี ก็ได้คำตอบจากท่านผู้ใหญ่ของที่นี่ระบายให้ฟังถึงเรื่องความเจ็บช้ำจากอดีตเก่าๆที่ท่านพบมา สำหรับความไม่ประทับใจอะไรบางอย่าง จึงทำให้ท่านไม่ให้ความสนใจโครงการที่นายพิชิต พิศนุภูมิคนนี้ไปนำเสนอ แบบว่าไม่เข้าตากรรมการจนได้ ครานี้ถึงเวลาที่ต้องระเห็จเตร็ดเตร่ไปจังหวัดต่างๆในเขตด้านตะวันตก พร้อมพกกับความผิดหวังกลับมา นี่คงเป็นเพราะโชคชะตาไม่ส่งเสริมตัวเราเป็นแน่แท้ ใครจะว่าบุญทำกรรมแต่งก็สุดแท้แต่จะคาดเดา โดยความเป็นจริง ความคิดเห็นส่วนตัวของผม ผมเป็นคนไม่ค่อยเชื่อเรื่องโชคชะตามากนัก ทุกๆวันที่ผ่านมาและกำลังจะก้าวไปข้างหน้า ผมมีความเชื่อว่า “ชีวิตลิขิตได้ หากตั้งใจที่จะลิขิตชีวิตเอง” และแล้ว…สายลมแห่งโชคชะตาก็เริ่มพัดเปลี่ยนเส้นทางแห่งชีวิตอีกครั้งหนึ่ง ผมไม่ทราบหรอกครับว่า จังหวัดใดมีประวัติความเป็นมาอย่างไร มีใครเคยมาขอเปิดโครงการสักกี่ครั้ง หรือกี่รอบ ไม่มีใครตอบคำถามนี้ให้กับผมได้ จนกระทั่ง..ผมมีโอกาสขอข้อเสนอการทำโครงการสวัสดิการประกันหมู่ให้กับข้าราชการครูจังหวัดอุดรธานี ซึ่งเป็นจังหวัดหนึ่งในภาคอีสานที่ผมเคยผ่านไปครั้งเดียวคราวที่พาคณะฉิ่งฉับทัวร์เดินทางผ่านในราวปี 2529 เวลาที่ผ่านไปอย่างรวดเร็วเหลือเกินจากวันนั้น จนมาถึงวันนี้ วันที่ผมต้องพาตนเองเดินทางมาขอพบท่านผู้อำนวยการการประถมศึกษาจังหวัดเพื่อขอโอกาสเสนองาน และขออนุญาตเข้าร่วมประชุมให้คณะผู้บริหารได้รับทราบรายละเอียดของโครงการ ช่วงแห่งการเริ่มต้นไม่ง่ายนักสำหรับการทำงานในจังหวัดใหญ่ระดับนี้ เป็นเพราะมีโครงการของบริษัทเดิมที่ดูแลโครงการอยู่แล้ว 2-3 บริษัท เจ้าหน้าที่ได้แจ้งว่าเคยเห็นโครงการลักษณะนี้ผ่านตา แล้วก็หายสาบสูญไป “หากคุณพิชิต จะมาทำโครงการแบบนี้ น่าจะเสียเงินค่าน้ำมันไปโดยเปล่าประโยชน์” สำหรับผมแล้ว การได้รับคำตอบเช่นนี้ ถ้าจะถามว่าถอดใจหรือไม่ คงต้องบอกว่าเมื่อตั้งใจจะทำงานสักอย่าง เข้าจุดสตาร์ทแล้ว ลองได้ออกเดินทางไปข้างหน้า ดีร้าย สำเร็จหรือไม่ต้องขอลองดูสักตั้ง การนัดพบกับผู้ใหญ่ต้องนัดหมายล่วงหน้าไว้ก่อน เพราะว่าเราไม่รู้จักใครจริงๆ การจะเริ่มต้นจึงเร่ิมจากการมาขอนัดหมายกับเลขาหน้าห้องของท่าน และด้วยการที่มีความสำเร็จจากโครงการสวัสดิการประกันหมู่จังหวัดนครพนมแล้ว ในการกลับไปมอบกรมธรรม์ประกันหมู่ให้กับท่านผู้อำนวยการการประถมศึกษาจังหวัดนครพนมในวันประชุมประจำเดือน ผมจึงได้ปรารภให้ท่านได้รับทราบการดำเนินงานที่จะทำในลำดับถัดไป ซึ่งธรรมชาติของทุกองค์กรมักมีการจัดประชุมทุกเดือนอยู่เสมอๆ ท่านจึงเอ่ยว่าถ้าได้เจอกันในงานประชุมคราวหน้าจะเกริ่นให้ท่านผู้ใหญ่ได้ทราบว่าโครงการนี้ดีอย่างไร ผมจึงได้กราบขอบพระคุณในความกรุณาของท่าน ผมได้เข้ามากราบสักการะกรมหลวงประจักษ์ ซึ่งชาวอุดรกราบไหว้เคารพสักการะอย่างสม่ำเสมอ ผมขอพรจากท่านเพื่อให้ตัวผมมีพลังทางความคิด พร้อมมีพลังแรงกายที่จะทำงานใหญ่ เพื่อสร้างสวัสดิการที่ดีและมีประโยชน์ให้กับข้าราชการครูในเขตพื้นที่การศึกษา ซึ่งมีทั้งหมด 20 อำเภอ เมื่อถึงวันนัดหมายได้เข้าพบท่านผู้อำนวยการการประถมศึกษาจังหวัด จากการได้พูดคุยพร้อมอธิบายรายละเอียดต่างๆให้ท่านได้รับทราบ ท่านได้ให้ความกรุณาเป็นอย่างยิ่ง โดยให้ความอนุเคราะห์สำหรับการประชาสัมพันธ์ และอนุญาตให้เข้าร่วมประชุมเพื่อชี้แจงให้หัวหน้าการประถมศึกษา พร้อมคณะผู้บริหารทั้งหมดได้รับทราบโดยพร้อมเพรียงกันในวันประชุมประจำเดือน

ผมเริ่มเรียนรู้วิถีชีวิตของชาวอุดรในช่วงเวลาสั้นๆ พร้อมเสาะแสวงหาที่พัก เพื่อเป็นสถานที่ไว้เตรียมงาน ด้วยการที่พวกเราไม่ใช่คนที่นี่ ไม่มีใครที่เรารู้จักมาก่อน มีบางคนแนะนำให้เรามาดูบ้านเช่าไม่ไกลนักในซอยประชาสันติ เมื่อเราได้ที่พักพิงในราคาย่อมเยาว์ แม้จะมีเครื่องอำนวยความสะดวกไม่มากนัก พวกเราก็มีความพึงพอใจ เพราะเรามาที่นี่เพื่อมาทำงาน เพื่อมาสร้างสวัสดิการให้กับข้าราชการครู พร้อมกับการสร้างฝันในการทำงานของเราให้มีความสำเร็จมากยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ

18 พฤศจิกายน 2541 เป็นวันที่ผมได้มีโอกาสประชุมชี้แจงรายละเอียดให้กับผู้บริหารทั้งหมดในสำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดอุดรธานีได้รับทราบ ท่านผู้บริหารทั้งหมดให้ความสนใจในโครงการสวัสดิการประกันหมู่ พร้อมตอบรับการเข้าประชุมตามอำเภอต่างๆที่มีทั้งหมด 20 อำเภอ และการประชุมแต่ละอำเภอตั้งแต่วันที่ 19-23 พฤศจิกายน 2541 เป็นช่วงเวลาที่ทุกอำเภอกำหนดไว้ จึงทำให้การประชุมเกิดขึ้นในระยะเวลาไล่เลี่ยกัน บางอำเภอประชุมตรงกัน ทำไงเล่าครับทีนี้ สำหรับทีมงานของพวกเราที่มีเหลือเพียง 3 ชีวิต เพราะน้องคนหนึ่งที่เคยร่วมงานกับเรานั้น ขอสละการเข้าร่วมกิจกรรมเดินสายออกต่างจังหวัด เพราะปัญหาสุขภาพที่ต้องเข้าพบแพทย์อย่างต่อเนื่อง คงมีเพียงน้องเลขาคู่ใจที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาตลอด ยอมที่จะมาเหนื่อยด้วยกัน และพร้อมที่จะต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับผู้จัดการพิชิต พิศนุภูมิ และคุณวาสนา พุ่มมั่น ในสถานการณ์เช่นนี้ทำให้ผมต้องเชิญทีมงานในเครือชุมทอง 24 ยู ซึ่งเป็นหน่วยพี่หน่วยน้องมาลงแขกการทำงาน ประจวบกับช่วงเวลานี้หน่วยชุมทอง 24 ยู 5 คุณสุพร พงศ์พูนสิน ได้เปิดโครงการสวัสดิการประกันหมู่ให้กับข้าราชการครู จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นโอกาสที่พวกเราได้ช่วยกันแลกเปลี่ยนกำลังคนในการเข้าประชุมแต่ละอำเภอ โดยจัดการแบ่งงานออกเป็น 3 สายๆ ละ 2 แห่งบ้าง 3 แห่งบ้าง โดยแบ่งกันทำหน้าที่ผู้บรรยายด้านหน้าห้องประชุม ส่วนทีมงานที่เหลือแจกเอกสารให้กับผู้เข้าร่วมประชุม แต่ละอำเภอมีผู้เข้าประชุมจำนวนมาก บางแห่ง 60-80 คน บางแห่ง 100-120 คน และบางแห่งมากกว่า 200 คน ผมจึงทำหน้าที่ในการประชุมขนาดใหญ่ และขนาดกลาง ส่วนคุณวาสนา พุ่มมั่น ทำหน้าที่บรรยายให้กับอำเภอขนาดกลาง และน้องๆที่มาช่วยในครั้งนี้ แบ่งกระจายไปตามอำเภอที่มีขนาดกลาง และขนาดเล็ก แต่ทั้งนี้เส้นทางของแต่ละอำเภอต้องมีความสอดคล้องกัน โดยมีระยะห่างแต่ละแห่งประมาณ 60-100 กม. ในกรณีที่มีการประชุมพร้อมกัน แต่บางครั้งก็เลือกไม่ได้ แม้จะห่างเกินกว่า 100-150 กม.ก็ต้องสวมหัวใจสิงห์ ซิ่งขับรถยนต์แข่งกับเวลา ครานั้นมีทีมงานเข้ามาช่วย รวมแล้ว 6-7 คน เป็นการสอนงานไปพร้อมๆกันกับการสร้างคนใหม่ให้เข้าใจในการทำงาน เพื่อไปสานต่อที่จังหวัดสุพรรณบุรี

ด้วยจังหวัดอุดรธานีเป็นจังหวัดที่มีพื้นที่กว้างขวางมากถึง 20 อำเภอ ทำให้พวกเราไม่สามารถประชุมได้ครบในเดือนเดียวได้ ที่เข้าประชุมชี้แจงเพียงประมาณ 10 อำเภอ จึงต้องใช้กลยุทธ์การทำงานแบบกองโจร คือบุกตลาดเป็นวงกว้าง กระจายการทำงานแต่ละพื้นที่เป็นรูปสามเหลี่ยมบ้าง สี่เหลี่ยมผืนผ้าบ้าง ท่ามกลางอากาศที่เปลี่ยนจากปลายฝนเป็นต้นหนาว พวกเราต้องปรับตัวเรียนรู้วิถีชีวิตของการทำงานสายอาชีพครู ที่มีการแข่งขันกีฬาของแต่ละกลุ่ม ของโรงเรียน ของเขตพื้นที่ต่างๆ พร้อมต้องจัดเวลาเข้ามากรุงเทพฯ จัดเตรียมเอกสารเพื่อนำไปรณรงค์รับสมัคร และไปลงแขกช่วยทีมคุณสุพร พงศ์พูนสิน ประชาสัมพันธ์ที่สำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดสุพรรณบุรี และตามอำเภอต่างๆ เมื่อเสร็จภารกิจช่วยเหลือซึ่งกันและกันเรียบร้อย พวกเราสามชีวิตจึงเดินทางกลับมาตั้งต้นการทำงานอย่างเต็มกำลัง แม้พวกเราจะเป็นเพียงคนทำงานเช่นเดียวกับทุกๆคนที่มีรูปแบบการทำงานเป็นลักษณะเฉพาะของแต่ละอาชีพ สำหรับพวกเราการตัดสินใจมาทำงานต่างบ้านต่างเมือง นอกจากความห่างไกลจากบ้านเรือนและญาติมิตรที่มีความอบอุ่นในสภาพของครอบครัว แต่ ณ เวลานี้ ดินแดนที่ห่างไกลกว่า 600 กม.ท่ามกลางความไม่คุ้นชินกับอาหาร ความเป็นอยู่ ประเพณี และวัฒนธรรมในบางอย่าง พวกเราต้องใส่ใจเรียนรู้และปรับตัว แม้จะมีความเหงาเป็นครั้งคราว แต่พวกเรามีความหวัง ความหวังที่อยู่ในมโนจิตของผมตลอดเวลา โดยคาดหวังว่า พวกเราคงจะได้ทำงานให้บรรลุเป้าหมายในเร็ววัน พวกเราคงมีโอกาสประชาสัมพันธ์ไปทุกพื้นที่ได้มากที่สุด เท่าที่เวลาที่มีอย่างจำกัดจะทำได้

พวกเราเริ่มมีเพื่อนบ้านห้องข้างเคียงเป็นกลุ่มนักศึกษาที่พวกเขาเป็นกลุ่มวัยรุ่น มักตั้งวงเฮฮาประสาวัยหนุ่มสาว ร้องรำทำเพลง เล่นกีต้าร์ ร่ำสุรา พอเป็นที่สนุกสนานกันอยู่เป็นนิจ พวกเขาเคยถามพวกเราว่ารำคาญบ้างไหม ผมตอบพวกเขาไปเสมอๆว่า ไม่เป็นไรครับ สนุกดี ได้ฟังเพลงจากพวกเรา ร้องกันเพราะมาก ชอบครับ เป็นเพื่อนให้ผมได้ทำงานตอนกลางคืน ไม่เหงาดีครับ บางครั้งในใจลึกๆ อยากลงไปนั่งเล่นกีต้าร์สักเพลงสองเพลง แต่ก็สู้ไม่แสดงตนว่ามีเลือดศิลปิน พอมีฝีมืออยู่บ้าง เพราะเกรงว่าจะต่อยอดความบันเทิงจนเสียงานใหญ่ของเราจนเสียการ เมื่อวงดนตรีข้างบ้านหยุดทำการแสดง บ่อยครั้งที่ผมออกมาเดินเล่นในยามดึก มองแสงจันทร์บนท้องฟ้า ท่ามกลางอากาศที่เริ่มหนาวเหน็บ แต่ภายในหัวใจที่เร่าร้อน เรียกร้องแต่เป้าหมายที่ต้องคำนวณวันทำงานที่มี เวลาที่กำลังจะผ่านไป เส้นทางที่พวกเราจะเดินทางไปในวันพรุ่งนี้ น้องๆในทีมงานทั้งสองคน ถามบ่อยๆ ว่าพรุ่งนี้จะไปที่ไหน ไม่เคยตอบใครได้ชัดเจนว่าจะไปตรงไหนดี เพราะทุกอำเภอในจำนวน 20 อำเภอ การประชุมยังทำได้ไม่ครบ หากอำเภอใดที่มีการประชุมแล้ว ท่านผู้บริหารโรงเรียนก็จะผ่านตา จำได้ว่า พวกเราคือผู้ประสานงานโครงการสวัสดิการประกันหมู่ หากเราจะเดินทางไปประชาสัมพันธ์ ก็ต้องมีกระบวนการทำงานให้สอดคล้องกัน เช่นการประชุมที่อำเภอดำเนินการไปแล้ว เอกสารประชาสัมพันธ์พร้อมใบสมัครถูกจัดส่งเข้าช่องของทุกโรงเรียนไปเรียบร้อยแล้วเมื่อสองสามวันก่อน และมีบางท่านส่งใบสมัครมาฝากไว้ที่ฝ่ายบริหาร บางทีก็มีส่งมาก่อนสองหรือสามราย หน้าที่ของผมก็คือการนำใบสมัครที่มีคุณค่านี้มาดูว่าอยู่โรงเรียนใด จำนวนข้าราชการมีมาก น้อย พร้อมเริ่มกำหนดแผนการทำงานว่ากลุ่มโรงเรียนนี้อยู่ห่างกันมากหรือไม่ จำนวนข้าราชการในกลุ่มที่ 1 มีจำนวนใกล้เคียงเพื่อเริ่มงานประชุมในภาคเช้า ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สดใสของวันทำงานในแต่ละวัน พร้อมเตรียมชุดโรงเรียนที่สอง ชุดที่สามตามลำดับ และเทียบเคียงว่าโรงเรียนในกลุ่มที่จะทำงานภาคเช้า มีรอยต่อไปยังอีกอำเภออื่นหรือไม่ ถ้าเป็นช่วงรอยต่อของอีกอำเภอหนึ่ง จะค้นหากลุ่มของโรงเรียนชุดใหม่ เพื่อเตรียมทำงานในภาคบ่าย ลักษณะงานก็คล้ายกับการทำงานช่วงเช้า เลือกกลุ่มที่มีจำนวนคนที่มากไว้ก่อน เพื่อคิดค่าสถิติความน่าจะเป็นไปได้ในการได้รับใบสมัคร ช่วงแรกผมจะทำงานคนเดียว ส่วนคุณวาสนา จะเดินทางไปทำงานกับน้องเดียว เลขาคนเก่งของผมที่ติดตามมาช่วยงานในภาคสนาม เพราะตอนนี้ที่หน่วยของเรา ไม่มีตัวแทนเต็มเวลาเหลืออยู่แล้ว เพราะตัวแทนที่เก่งๆ ก็แตกหน่วยไปบ้าง แต่งงานไปบ้าง ขอพักบ้าง และส่วนที่มีสัญญา ทำหน้าที่ส่งงานเพื่อรักษาสัญญาเป็นครั้งคราว เพื่อไม่ให้หัวหน้าลืมไปซะเลย ช่วงเดือนแรกของการทำโครงการ พวกเราแยกกันทำงานสองส่วนตามที่กล่าวข้างต้น แต่เป็นเพราะช่วงเวลาหนึ่งที่เกิดภาวะค่าครองชีพที่เดินเบียดเข้ามาหาอย่างหนัก ประกอบกับการทำโครงการแบบนี้ ต้องใช้เงินอย่างมาก เพราะการเดินทางมีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะค่าน้ำมัน แต่โชคดีที่ราคาน้ำมันในขณะที่ทำโครงการเพียงลิตรละไม่ถึงยี่สิบบาท ทุกสิ่งทุกอย่างที่กำลังดำเนินการต้องใช้ต้นทุนสำหรับการทำงาน โดยยังไม่เกิดผลตอบแทน ทำให้ผมต้องตัดสินใจใช้รถยนต์ทำงานเพียงคันเดียว

สำหรับการทำโครงการในจังหวัดระดับใหญ่ที่มีทั้งหมด 20 อำเภอ ด้วยพลังจิตใจที่เข้มแข็ง กล้าที่จะยืนหยัด และท้าทายกับโชคชะตา มีความเชื่อว่าชีวิตลิขิตได้ ความสำเร็จที่จะมีขึ้นในวันข้างหน้า เกิดจากความพยายาม ความทุ่มเทที่ใส่ลงเข้าไป ทำให้ผมเริ่มคิดค้นวิธีการ ในรูปแบบการสร้างสื่อประชาสัมพันธ์โครงการให้มีความถี่มากขึ้น การบุกตะลุยในแผนการทำงานแบบกระจายพื้นที่แต่ละกลุ่ม เพื่อสร้างการกระเพื่อมของข้อมูลข่าวสาร โดยมีความเชื่อว่ากลุ่มโรงเรียนในแต่ละกลุ่ม แม้จะต่างกลุ่มกัน ก็จะมีคนรู้จักเป็นเพื่อน เป็นญาติ เป็นคู่สมรส เป็นบุตร หลาน เมื่อเกิดการกระจายกลุ่มเป็นวงกว้างมากขึ้นเท่าไร การรับรู้ และการกล่าวถึงก็จะมีมากขึ้นตามลำดับ อาจเป็นการพูดคุยในขณะรับประทานอาหาร อาจเป็นการกล่าวถึงในวงสุราปาร์ตี้ และบางทีที่เดินทางกลับจากโรงเรียนที่ห่างไกลตัวเมืองมากๆ พวกเรามักพบครูอาจารย์บางท่านนั่งรอรถยนต์โดยสารประจำทาง เพื่อกลับบ้านพักในตัวจังหวัด พวกเราไม่ลังเลที่จะรีบรับ เพื่อช่วยให้พวกเขาได้ถึงที่หมายได้เร็วกว่าปกติ พร้อมไม่ลืมที่จะแนะนำตัวเองให้ได้รู้จัก สอบถามข่าวสารในเรื่องโครงการสวัสดิการประกันหมู่ หากเขาไม่ทราบก็พร้อมที่จะอธิบาย และฝากใบสมัครไปฝากเพื่อนๆข้าราชการตามจำนวนที่มีในโรงเรียนนั้น ๆ ซึ่งบางท่านก็ยินดีที่จะให้ความช่วยเหลือ และรวบรวมส่งเอกสารการสมัครไปที่ฝ่ายบริหารของ สำนักงานการประถมศึกษาอำเภอ จากการที่ผมมีโอกาสไปทำงานตามลำพัง และคุณวาสนา ทำงานคู่กับน้องเดียว เพียงชั่วระยะเวลาหนึ่ง พวกเราก็สามารถแยกไปทำงานในเวลาพร้อมกันได้ถึง 3 แห่ง แห่งที่หนึ่งคุณวาสนา เข้าไปโรงเรียนแรกตั้งแต่ 7 โมงเช้า และน้องเดียวไปโรงเรียนที่สองในเวลาไล่เลี่ยกัน สำหรับผมขับรถไปโรงเรียนขนาดใหญ่ เพื่อเตรียมเข้าพบผู้อำนวยการ และขอเวลาประชุมก่อนทำการเรียนการสอน นั่นหมายถึงพวกเราไปทุกแห่งก่อนเคารพธงชาติ ทุกที่ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น บางท่านให้ความห่วงใยว่าพวกเรามาทำงานกันใช้คนน้อยจังเลย ก็ตอบให้อาจารย์ได้ทราบว่า พวกเรากระจายกันทำงานเพื่อให้ข้าราชการได้เข้าใจในผลประโยชน์ของสวัสดิการประกันหมู่ พวกเราเรียนรู้ที่จะแจกเอกสารให้กับคณะครูไปพร้อมๆกับการบรรยาย และเชิญชวนให้กรอกใบสมัครเข้าร่วมโครงการ บางท่านมีข้อติติงในเรื่องที่สงสัย หรืออาจเจอบางสิ่งบางอย่างที่ไม่น่าประทับใจ ผมก็จะความใจเย็นในการรับฟัง และไขข้อข้องใจให้ทุกท่านได้ทราบ ในทุกๆปัญหาหากเราละเลย นอกจากปัญหาจะยังเป็นปัญหาต่อไป พวกเราก็จะกลายเป็นบุคคลที่ไม่มีใครอยากต้อนรับอีกต่อไป พวกเรารู้ว่า ไม่ได้มาที่นี่เพียงแค่วันนี้ แต่จะมาอีกในวันหน้า และวันต่อๆ ไป พวกเราพร้อมที่จะอยู่ในใจ และความทรงจำที่ดีให้กับคณะครู อาจารย์ พวกเราเชื่อว่า เมื่อพวกเราคิดดี ทำดี ย่อมได้รับผลตอบกลับที่ดีอย่างแน่นอน

ทุกเช้าท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็นมากๆ สองสาวจะตื่นขึ้นอาบน้ำกันก่อนเสมอ แล้วจึงปลุกผมให้มาทำภารกิจต่อไป ที่นี่ไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่น เราไม่มีเวลามาต้มน้ำร้อนเพื่อผสมน้ำอาบ แต่เราจำเป็นต้องอาบน้ำเพื่อชำระร่างกาย ให้เกิดความสดใส พร้อมที่จะไปทำงานในวันนั้นๆ ผมนึกถึงคำบอกเล่าของพ่อตอนที่นวดให้ท่านตั้งแต่วัยเด็ก ท่านบอกว่า ฮิตเล่อร์พาทหารฝึกเพื่อทำการรบอย่างหนักในฤดูหนาวท่ามกลางหิมะและน้ำแข็ง พาทหารไปแช่น้ำที่เย็นยะเยือก ทุกเช้าแม้อากาศจะหนาวเย็นปานใด เมื่อผมคิดถึงเรื่องนี้ ผมรู้สึกได้ทันทีว่าผมโชคดีกว่าเหล่าทหารของนาซีตั้งมากมาย แค่นี้ไม่หนาวตายแน่ ดังนั้นภายในจิตใจของผมจึงอบอุ่นทำให้อาบน้ำได้อย่างสบายๆ เมื่อล้อหมุนออกจากที่พัก แผนการทำงานจึงเกิดขึ้น พร้อมๆกับรายชื่อผู้สมัครของวันก่อนที่พวกเราได้รวบรวมเข้ามา ผ่านการพิมพ์และปริ้นซ์ออกมาเรียบร้อย 3 ชุดเพื่อให้ทุกคนไปนำไปอ้างอิงให้กับคณะครูได้รับรู้ว่า จำนวนคนที่สมัครเข้าร่วมโครงการมีมากขึ้นเรื่อยๆ และที่สำคัญหลายคนที่มีรายชื่อนั้นเป็นคนที่เขารู้จักเป็นอย่างดี และเป็นคนที่บางคนเชื่อมั่นในสิ่งที่เขาทำ พร้อมที่จะตัดสินใจทำตามบุคคลที่เขามีความไว้วางใจ ในเดือนที่สอง ระหว่าง 23-24-25 ธันวาคม 2541 ทำการประชุมครบทุกอำเภอ เป็นการทำงานที่ผ่านกระบวนการสำคัญในส่วนของผู้บริหารทุกโรงเรียนได้รับทราบเบื้องต้น ดังนั้นการปฏิบัติงานไปยังข้าราชการครูทุกโรงเรียน จึงเป็นยุทธการที่มีการทำงานอย่างต่อเนื่อง โดยทีมงานของพวกเราเริ่มเห็นแสงสว่างทางปลายอุโมงค์มากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยจำนวนผู้สมัครที่หลั่งไหลเข้ามาเป็นระยะๆ บางวัน มีใบสมัครที่รับมาจากแต่ละโรงเรียน 70-100 ใบ เมื่อแวะไปรับที่ฝ่ายบริหารที่อำเภอ มีฝากมาบ้าง 20 ใบสมัคร บางแห่งก็มีมากบ้าง 50 กว่าใบ 70 ใบก็มี นับว่าโครงการสวัสดิการประกันหมู่ของพวกเรา กำลังเข้าถึงประชาชน

ทุกวันที่พวกเราเดินทางผ่านเส้นทางมากมาย พบทัศนียภาพที่แปลกตา งามตัว เกิดความประทับใจในธรรมชาติหลายต่อหลายแห่ง บางพื้นที่มีป่าเขาเต็มไปด้วยความอุดมสมบูรณ์ บางแห่งเป็นบึงกว้างดูไกลและกว้าง มีสรรพสิ่งมากมาย บางที่ดูมีความเข้มขลังอลังการ รู้สึกมีความสุขกับผู้คนในพื้นที่ได้มีชีวิตแอบอิงกับธรรมชาติ รู้สึกขอบคุณเส้นทางที่หลวงได้สร้างไว้ ทำให้เราได้ไปทุกที่ที่มีทาง บางครั้งทางไม่สะดวกนัก หากด้วยความจำเป็นในภารกิจ พวกเราก็ต้องฝ่าฟัน บางวันที่พวกเราต้องตื่นตั้งแต่ตีสี่เพื่อไปยังอำเภอที่ไกลสุด เช่นอำเภอน้ำโสม นายูง มีสถานปฏิบัติธรรมที่สงบ ร่มเย็น แม้จะเป็นเส้นทางที่ไกลสุดสายทางของจังหวัดนี้ แต่ข้าราชการครูทุกท่านให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น พวกเขาดีใจที่พวกเรามาพบเพื่อมอบสวัสดิการที่ดี เป็นการเติมผลประโยชน์ในยามเจ็บป่วย หลายท่านชื่นชมพวกเราที่มีความมานะในการทำงาน ต่างล้วนเป็นกำลังใจให้กันและกัน เมื่อเดินทางมาทำงาน มีแผนงานสำรองเสมอสำหรับอำเภอข้างเคียง อาทิเช่นอำเภอบ้านผือที่อยู่ใกล้กับอำเภอน้ำโสม และในวันต่อไปเปลี่ยนเส้นทางมาด้านอำเภอกุมภวาปี โนนสะอาด ศรีธาตุ วังสามหมอ สลับกับการขยายตลาดในวันต่อไป โดยย้ายไปหนองหาน ไชยวาน กู่แก้ว ประจักษ์ศิลปาคม พิบูลย์รักษ์ บ้านดุง ทุ่งฝน ผ่านดินแดนคำชะโนดที่มีตำนานมากมาย เมื่อมีโอกาสพวกเราก็เข้าไปกราบไหว้เพื่อความเป็นศิริมงคล เส้นทางใหม่ๆในแต่ละวัน ด้านอำเภอเพ็ญ สร้างคอม ทำให้พวกเรามองเห็นทิวทัศน์อีกมากมาย อำเภอเมืองเป็นอำเภอที่มีพื้นที่ใหญ่มาก ผมเคยคิดว่าถ้าจะคำนวณเป็นพื้นที่เท่ากับหนึ่งจังหวัดเล็กๆก็มีความน่าจะเป็นได้ ทั้งจำนวนข้าราชการที่มีมากกว่าสองพันท่าน เขตใกล้เคียงคืออำเภอหนองแสง กุดจับ หนองวัวซอ พวกเราทำงานกันอย่างสนุกสนานทุกๆวัน ท่ามกลางอากาศที่เย็นสบายกำลังดี แม้จะหนาวบ้างในบางวันก็ได้เห็นสีสันความสวยงามจากครูอาจารย์ที่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าหน้าหนาวมองดูแล้วทั้งสวยหล่อทุกคน สิ่งที่พวกเราได้เรียนรู้สำหรับการออกทำงานในต่างพื้นที่คืออาหารที่จะรับประทานกลางวัน ทุกเช้าที่เราทานอาหารร้านประจำ ต้องซื้อใส่กล่องเพื่อเก็บไว้ทานตอนพักเที่ยง นั่นหมายถึงว่าเสร็จการประชาสัมพันธ์โรงเรียนสุดท้ายของช่วงเช้า ผมมีหน้าที่ขับรถไปรับน้องเดียวจากโรงเรียนที่ให้ทำหน้าที่ รับคุณวาสนาจากโรงเรียนที่เข้าไปทำงาน เมื่อพวกเราสามคนพบร่มไม้เหมาะๆ นั่นแหละครับ เรสทัวร์รองชั้นดีของพวกเรา

ท่ามกลางร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ สายลมที่พัดเบาๆ เคล้าเสียงเพลงที่เปิดจากเครื่องเล่นในรถในบางครั้ง แต่ส่วนมากจะพูดคุยถามถึงการต้อนรับมากหรือน้อยในโรงเรียนที่เข้าไปพบในช่วงเช้า และแนะนำที่ใหม่ที่พวกเราต้องทำงานในช่วงบ่าย เวลาเป็นเงินเป็นทองจริงๆ เพราะพวกเราใช้เวลารับประทานอาหารไม่นาน จากนั้นผมก็ทำหน้าที่ขับรถส่งคุณวาสนาเป็นโรงเรียนที่หนึ่ง น้องเดียวเป็นโรงเรียนที่สอง ส่วนผมเข้าไปหาโรงเรียนที่สาม บ่ายนี้พวกเราต้องพยายามทำให้ได้สองชุดๆละ 3 โรงเรียน และถ้าเป็นไปได้ ชุดที่สามอาจแบ่งเป็นสองส่วน โดยให้สองสาวไปด้วยกัน ส่วนผมก็บินเดี่ยวเช่นเคย หรือเวลาจวนเจียนพวกเราทั้งสามคนก็ไปโรงเรียนขนาดใหญ่ด้วยกัน เมื่อเสร็จภารกิจในพื้นที่ เดินทางเข้าสำนักงานการประถมศึกษาอำเภอ เพื่อขอรับใบสมัครที่ข้าราชการนำมาฝากไว้ที่ฝ่ายบริหาร หรือนำเอกสารการประชาสัมพันธ์ส่งเพิ่มเติมเข้าไปในช่องรังผึ้งอีกครั้ง เผื่อว่าบางท่านที่สมัครไม่ทัน มีโอกาสได้ใช้สิทธิ์ ทำให้ผมสร้างสรรค์โบชัวร์ออกมาเป็นระยะๆ ด้วยแนวคำพูดใหม่ๆ ที่เชิญชวนให้ผู้สนใจเข้าร่วม เช่น อย่าปล่อยให้ของดีๆลอยนวล เชิญชวนทุกท่านอีกครั้ง และเติมแต่งเรื่องราวให้ทุกท่านทราบความคืบหน้า มีผู้สมัครเข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 1,500 ท่าน,โครงการเร่ิมคุ้มครองแน่นอน วันที่…..ฯลฯ สถานการณ์แต่ละพื้นที่มีความแตกต่างกัน ในแต่ละวัน แต่ละสัปดาห์ ทั้งกีฬาสี และเอเชี่ยมเกมส์ รวมทั้งการจัดการแข่งขันด้านวิชาการ หรือการเข้าค่ายพักแรมของเนตรนารี ลูกเสือ พวกเราต้องพร้อมที่จะเปลี่ยนเส้นทางทำงาน เมื่อพบเหตุการณ์ในช่วงเช้าของวันทำงาน โรงเรียนแรกที่เข้าพบมีการเข้าค่าย โรงเรียนที่สองมีเข้าค่ายเช่นกัน เมื่อเจอสถานการณ์เช่นนี้รู้ได้ทันทีว่ากลุ่มโรงเรียนชุดนี้ ที่ประกอบไปด้วย 10 โรงเรียน อาจมากหรือน้อยกว่าแล้วแต่ขนาดของกลุ่ม มีกิจกรรมที่ทำเหมือนกัน หรือใกล้เคียง เส้นทางการทำงานของพวกเราต้องปรับไปยังอำเภอใหม่ หรือกลุ่มอื่นที่ไกลไปจากจุดนี้ ผมจึงกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญเส้นทางในแต่ละหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จนเริ่มเข้าข้างตนเองว่า แม้ไม่ใช่คนอีสาน แต่รู้จักพื้นที่ทุกแห่งมากกว่าคนที่นี่ ความคิดใหม่ๆมักเกิดขึ้นได้เสมอ ไอเดียดีๆล่องลอยอยู่ในอวกาศ ลอยไปมาทั่วจักรวาล ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งที่จิตว่าง อาจมีการค้นพบและคว้าเอามาใช้งาน แต่ละวันแต่ละคืนที่ผ่านไปจิตของผมจดจ่ออยู่กับปัจจุบัน วันพรุ่งนี้และวันต่อๆไป วันข้างหน้า บ่อยครั้งที่คิดถึงเพื่อนร่วมงาน ณ ค่ายชุมทอง 24 พวกเราจากมานานเหลือเกิน พวกเราเคยมีความสุข สนุกสนานในวันคริสต์มาส วันสำคัญๆต่างที่ผ่านไป วันลอยกระทง จากความทุ่มเทในภารกิจครั้งสำคัญ ทำให้พวกเราไม่มีเวลาที่จะแบ่งปันไปหาความสุขในช่วงนั้นได้ เหลืออย่างเดียวคือการฝากความคิดถึงไปหากันและกันในช่วงเทศกาลที่สำคัญสุดของปี ถึงอยู่ไกล ใจอยู่ใกล้ ไม่ห่างเหิน แต่ต้องเดิน ทางมา เพื่อคว้าฝัน ก็ยังเป็น อินทรี ที่ฝ่าฟัน เพื่อมุ่งมั่น ต่อไป ใจมั่นคง ยังนึกถึง พี่น้อง ชาวสองสี่ ทั้งน้องพี่ พวกเรา เฝ้าไหลหลง จะหวนกลับ คืนรัง อย่างมั่นคง และจะคง ความเป็นหนึ่ง ซึ่งอินทรี

ทุกครั้งที่ทำงานไปยังสุดเขตปลายแดนของแต่ละจังหวัด จะมีคำถามเกิดขึ้นมาว่าจากอำเภอนี้เป็นอำเภออะไรครับ จังหวัดไหน ช่วงการทำงานประชาสัมพันธ์ที่จังหวัดอุดรต้องแบ่งเวลาเดินทางมารับเช็คที่จังหวัดนครพนมด้วยเสมอ การเดินทางขับรถผ่านจังหวัดสกลนครเป็นประจำ สกลนครเป็นจังหวัดที่มีความกว้างขวางมีพื้นที่ใกล้เคียงกับจังหวัดอุดรธานี ทำให้ผมเกิดความคิดที่จะเชื่อมอาณาเขตการทำงานให้ประสานเป็นหนึ่งเดียว เพื่อการดูแลหน่วยงานให้มีความสอดคล้องสำหรับโครงการสวัสดิการประกันหมู่ข้าราชการครู ผมจึงตัดสินใจเข้าพบท่านผู้อำนวยการการประถมศึกษาจังหวัดสกลนคร เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2541

ท่านเป็นผู้ใหญ่ที่ใจดีมาก บุคลิกลักษณะของท่าน ทำให้ผมแอบคิดไปว่าคล้ายกับคุณพ่อของผมมาก ท่านมีหลักการทำงานที่ดีมาก ผมได้ทราบจากท่านว่าเคยมีหลายบริษัทมาเสนอโครงการประกันต่างๆในลักษณะนี้บ้าง และอีกหลายๆรูปแบบ ทั้งหมดที่มีการนำเสนอยังไม่ผ่านการให้ประชาสัมพันธ์ คงต้องชะลอไว้ก่อน แต่ไม่รู้ว่าอะไรมาดลใจผมให้คุยกับท่านต่ออีกหน่อย ทั้งๆที่รู้ว่ามาพบท่านครั้งนี้คงหมดโอกาสที่จะได้ทำโครงการ จึงขออนุญาตท่านไปว่า โครงการที่ผมได้มาเสนอนี้เป็นโครงการสวัสดิการ ที่จะเกิดประโยชน์ให้กับข้าราชการครูทั้งจังหวัด เพราะเป็นโครงการที่ได้พิสูจน์ตัวเองในจังหวัดนครพนม และกำลังดำเนินการอยู่ที่จังหวัดอุดรธานี ข้าราชการทุกๆอำเภอต่างได้รับประโยชน์เพราะเป็นสวัสดิการเพิ่มเติมนอกเหนือจากสวัสดิการเดิมที่ทางราชการมีให้อยู่แล้ว ถ้าผมมีโอกาสได้เข้าประชุมชี้แจง เชื่อว่าท่านผู้บริหารทุกท่านอาจเห็นด้วยที่โครงการนี้น่าจะเกิดขึ้นที่นี่ ท่านจึงกล่าวว่าท่านคงไม่ตัดใจในเรื่องนี้เอง ถ้าเช่นนั้นคุณพิชิต ลองไปถามหัวหน้าการประถมศึกษาแต่ละอำเภอว่ามีความคิดเห็นอย่างไร ผมจึงขออนุญาตไปพบหัวหน้าการประถมแต่ละอำเภอเพื่อขอคำยืนยันการตอบรับโครงการเพื่อทำการประชาสัมพันธ์

ผมใช้เวลาประสานงานกับท่านหัวหน้าการทุกอำเภอ รวมทั้งหมด 18 อำเภอ โดยทำหนังสือขอการสนับสนุนให้แต่ละท่านได้เซ็นเห็นชอบ เพียงเวลาไม่นานทุกท่านก็เซ็นสนับสนุนรวม 18 รายชื่อภายในวันที่ 28 มกราคม 2542 ผมจึงนำหนังสือตอบรับดังกล่าวเข้าพบท่านผู้อำนวยการ เมื่อท่านเห็นลายเซ็นทั้งหมด ท่านก็ยิ้มแบบผู้ใหญ่ใจดี พร้อมอนุญาตให้เข้าทำการประชุมในระดับผู้บริหารทั้งจังหวัดได้ในเดือนถัดไป

งานที่จังหวัดอุดรยังไม่สำเร็จตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ พวกเรากลับมาทำการรณรงค์อย่างต่อเนื่อง ตื่นแต่เช้าเป็นนิจ ตีสี่บ้าง ตีห้าบ้าง พร้อมออกเดินทางแวะทานข้าวเช้าเป็นประจำ ทำหน้าที่ไปทุกโรงเรียนที่กำหนดไว้ตั้งแต่ตอนเที่ยงคืนเศษๆ ภายหลังจากการพิมพ์ชื่อผู้สมัครเข้าไว้ในแต่ละกลุ่ม อำเภอ ทำให้มองเห็นความเคลื่อนไหวที่มีจำนวนมาก น้อยของรายอำเภอ พร้อมวิเคราะห์วันเวลาที่ต้องทำงานให้ทันการสรุปรายชื่อ ใบสมัครส่งเข้าไปยังฝ่ายพิจารณาของบริษัท เอไอเอ และทำการสรุปรายชื่อให้กับทางจังหวัด ดังนั้นหลังเที่ยงคืนผมได้มองเห็นภาพทุกภาพที่ชัดเจนในเรื่องจำนวนผู้สมัครที่มีมากพอแล้วในบางอำเภอ และบางอำเภอจำนวนคนยังน้อยอยู่ ก็จะตัดสินใจพุ่งเป้าหมายไปประชาสัมพันธ์ยังอำเภอที่ยังมีผู้สมัครไม่ได้ตามเกณฑ์ เพื่อให้ทุกแห่งมีสมาชิกอยู่ในระดับที่น่าพอใจ และคาดหวังว่าปีนี้การทำงานได้สร้างข่าวสารการรับรู้ได้ในระดับหนึ่ง อาจเพียง 20% หรือสิบกว่าเปอร์เซ็นต์ในบางพื้นที่ หากมีเหตุการณ์บางอย่างที่เกิดขึ้น เช่นการเคลมค่าชดเชยการรักษาตัวในโรงพยาบาล การเวนคืนในกรณีที่ลาออก มีเช็คเงินคืนให้จริง หรือกรณีร้ายแรงต่างๆ ชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือก็จะเกิดขึ้น กระแสข่าวที่ผมตั้งใจทำการประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง ก็จะทำให้มีผู้สนใจสมัครเพิ่มเติมในปีหน้าอย่างแน่นอน เช้า กลางวัน เย็น ค่ำ ดึกดื่น วงจรชีวิตของพวกเราหมุนวนไปเช่นนี้อย่างต่อเนื่อง ทำงานกันคนละหน้าที่ ทำอาหาร จัดการเรื่องเสื้อผ้า พิมพ์รายชื่อเข้าไปในคอมพิวเตอร์ ตรวจสอบใบสมัคร การกรอกถูกหรือผิด ถ้ามีข้อผิดพลาด ก็เก็บใบสมัครใบนั้นไปพบผู้สมัครให้จัดการให้ถูกต้อง ประทับตรายางชื่อหน่วยงาน เพื่อสะดวกใช้ในขณะเข้าร่วมประชุม พร้อมจัดชุดใบสมัครต่างๆให้เข้าที่ เป็นระบบ ระเบียบเพื่อเตรียมจัดส่งบริษัท และสำเนาเก็บไว้ที่หน่วยงาน สปจ.,สปอ.เป็นหลักฐานอ้างอิงไว้ว่า ได้ทำถูกต้องตามระเบียบการจัดทำสวัสดิการของหน่วยงานราชการ ผู้ใหญ่หลายๆท่าน เจ้าหน้าที่สำนักงานได้พบเห็นพวกเราเสมือนหนึ่งเป็นข้าราชการประจำ พร้อมให้ความเป็นกันเอง และเริ่มทะยอยสมัครเข้าร่วมโครงการด้วย หนึ่งเพื่อเป็นการเก็บออม สองเป็นสวัสดิการเพิ่มเติม และที่สำคัญในข้อที่สาม เพื่อเป็นเกียรติให้กับผู้ประสานงานโครงการสวัสดิการประกันหมู่ นามว่า พิชิต พิศนุภูมิ รวมทั้งท่านผู้อำนวยการการประถมศึกษาจังหวัดได้ให้ความเมตตาสมัครเข้าร่วมโครงการในช่วงเดือนแรกของการทำงาน และอนุญาตให้เปิดเผยได้ เพราะท่านเห็นแล้วว่าเป็นเรื่องที่เกิดประโยชน์อย่างแท้จริง ขบวนการทำงาน การรับใบสมัคร และสารพัดเรื่องราวที่เกี่ยวข้องและเกิดขึ้น ได้เดินทางมาถึงวันสำคัญนั่นคือวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2542 ทำพิธีลงนามสัญญาประกันหมู่ คุณอาชพล โทวะ เดินทางจากกรุงเทพฯ มาทำหน้าที่ลงนามสัญญากับท่านผู้อำนวยการการประถมศึกษาจังหวัดอุดรธานี พร้อมด้วยคณะผู้บริหารระดับจังหวัดร่วมเป็นสักขีพยาน โดยมีสมาชิกเข้าร่วมโครงการ 2,348 ราย 525,644 บาท เป็นผลงานที่เกิดจากท่านผู้ใหญ่ให้ความเมตตา ข้าราชการทุกพื้นที่ให้การสนับสนุน เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายให้ความช่วยเหลือ และเพื่อนร่วมงานทุกๆคนให้ความทุ่มเททำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

ภาระงาน ผ่านไป ใจเป็นสุข แต่ก็ทุกข์ มาตั้งนาน เกินขานไข ที่ทนสู้ อยู่ก็ด้วย พลังใจ เป้าหมายใหญ่ ที่ตั้งมั่น เกินบรรยาย เพื่อรายได้ ที่มั่นคง ดำรงชีพ โควต้าบีบ รัดทุกปี ไม่หนีหาย สู้ครั้งนี้ เพื่อชีวี ที่สบาย ทุ่มสุดกาย โถมสุดตัว ไม่กลัวเกรง ยามเหนื่อยหนัก พักผ่อน ได้นอนบ้าง ใกล้สว่าง ก็ตื่นรับ กระฉับกระเฉง ไปทุกแห่ง ทุกที่ ไม่มีเกรง สร้างบทเพลง แห่งชีวิต ลิขิตตน หากวันนี้ ยอมสบาย อยู่ในห้อง ก็จะต้อง ใช้ชีวิต จิตสับสน ในบั้นปลาย จะยากไร้ ได้ยากจน ต้องอดทน ยิ้มสู้ อย่างผู้มีชัย

ช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ ทำจดหมายขอบคุณท่านผู้อำนวยการการประถมศึกษาจังหวัด ท่านหัวการประถมศึกษาทุกอำเภอ ตลอดจนข้าราชการทุกท่านที่ให้การสนับสนุนการจัดทำโครงการสวัสดิการประกันหมู่ พร้อมภาพข่าวประชาสัมพันธ์พิธีลงนามสัญญา โดยเริ่มมีความคุ้มครองตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2542 เป็นต้นไป

ตอนที่ 9 ทางสายใหม่

เรื่องเล่าของข้าพเจ้า ตอนที่ 9

หากตัวเราเปิดใจรับฟังเรื่องราวใหม่ๆ อย่างสม่ำเสมอ โอกาสของโลกทัศน์เราก็จะกว้างไกลมากขึ้น มุมมองในการทำธุรกิจ ทุกแห่งทุกที่มีโอกาสรอคอยบุคคลที่กระหายการไขว่คว้า การมีเป้าหมายแต่ละครั้งเริ่มต้นจากความคิด นำมาวางเป็นแผนการ พร้อมเข้าสู่การปฏิบัติงานอย่างจริงจังต่อเนื่อง เมื่อตรวจสอบแล้วบรรลุผลสำเร็จมากน้อยแค่ไหน ทำการปรับปรุงใช้กลยุทธ์ที่เหมาะสม ปฏิบัติอย่างจริงจัง สิ่งที่มุ่งหวังไว้นั้นก็สามารถบรรลุความสำเร็จได้

นึกถึงตอนเริ่มต้นใหม่ๆที่ตัดสินใจว่าจะออกสู่ทะเลกว้างของการทำงานภาคสนามในระดับมวลชน คนเรามักมีข้ออ้างเสมอเวลาที่จะทำให้ตนเองดูดีในหมู่เพื่อนฝูง เพื่อนร่วมงาน ในยุคเศรษฐกิจฟองสบู่แตก ช่วงเวลาเหล่านี้อะไรๆก็ดูมีอุปสรรคไปหมด นักขายประกันชีวิตรายปีที่เริ่มให้ความสนใจไปเรียนรู้การขายประกันชีวิตแนวการขายรายใหญ่มากขึ้น เช่นการวิเคราะห์ความต้องการทางการเงินให้ลูกค้า เพื่อสร้างยอดขายรายใหญ่ๆ เพื่อบรรลุเป้าหมายของตัวแทน ของทีมงาน และช่วงปีนั้น ประมาณปี 2536 ทางทีมงานหน่วยชุมทอง 24 ยูของเราได้เปิดการขายประกันออมทรัพย์รายเดือนให้กับหน่วยงานของรัฐวิสาหกิจอยู่หน่วยงานหนึ่ง เป็นช่วงเริ่มต้น เป็นช่วงของวันเวลาที่ใครๆก็ยังไม่รู้จักสินค้าแบบนี้ แม้แต่การประชุมร่วมกันของทีมงาน เมื่อถึงคราวตั้งเป้าหมายการนำส่งผลงานทั้งปี ใครที่ตั้งเป้าหมายต้องการมีผลงานอนุมัติ 70 ราย-100 รายก็นับว่าเป็นบุคคลที่น่าจับตามอง แสดงว่าจะต้องเป็นคนมุ่งมั่น และทุ่มเทอย่างที่สุด เพราะแต่ละเดือนแปลว่าต้องมีงานอนุมัติ 8-10 ราย จึงจะไปได้ถึงฝั่งฝัน แต่มีคนๆหนึ่งที่เวลาประกาศเป้าหมายว่าปีนี้จะทำให้ได้ 1,000 ราย พวกเราที่อยู่ในห้องประชุมก็จะพากันตกใจ และเริ่มคิดว่ามันจะเป็นไปได้อย่างไร แต่พี่คนนี้ที่พวกเราเรียกว่าพี่จ้อย (คุณปรีชา จ้อยสูงเนิน) ก็ยืนยันว่ามีความเป็นไปได้ บางทีอาจมากกว่านี้ ทำให้พวกเราต้องเฝ้าติดตามเป้าหมายที่ซุปเปอร์ใหญ่ตัวนี้ว่าจะเป็นจริงแค่ไหน? ไม่น่าเชื่อครับว่า งานรายเดือนที่พี่จ้อยของพวกเรามีความสัมฤทธิ์ผล ทำให้เกิดงานอย่างต่อเนื่อง เป็นที่สนอกสนใจของหน่วยอื่นๆในตึกสำโรง จนหน่วยเพื่อนๆ ในตึก มาขอความรู้จากหน่วยชุมทอง 24 ยูผู้เป็นต้นตำรับ และนำไปทำในภาคสนาม เป็นหน่วยงานราชการครู พวกเราเริ่มมีช่องทางความสำเร็จมากขึ้น มากขึ้น แน่นอนครับ เมื่องานดี สร้างรายได้เด่น เป็นประจำ ยิ่งทำยิ่งมัน ยิ่งทำยิ่งเกิดการขยายองค์กรต่างๆ ของหน่วยงานอื่นเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนทีมงานแห่งจังหวัดสมุทรปราการพากันออกเดินทางจับจองไปทั่วสารทิศ จากจังหวัดใกล้ๆในเขตกรุงเทพฯ ขยายออกสู่ต่างจังหวัดไกลออกไป และไกลออกไปมากขึ้นเรื่อยๆ

“ไม่ไปทำออมทรัพย์รายเดือนกับเขาบ้างหรือ?” คำถามจากเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งถามขึ้นระหว่างช่วงเวลาสบายๆ “อ้อ! ไม่ไปหรอกครับ ลูกกำลังเรียน เช้าต้องขับรถไปส่งลูก เย็นต้องรีบกลับจากทำงานเพื่อมารับลูกให้ทัน และส่วนมากก็พาลูกไปตีแบดออกกำลังกาย คงไปไหนไม่ได้หรอก” ตอบไปแบบนี้ ดูดีและเป็นแฟมิลี่แมนมาก ใครๆก็รักครอบครัว ใครๆก็มีเหตุผลของตนเองทั้งนั้น แต่ในเหตุผลที่ดูดีนั้นมีเหตุผลที่แท้จริง หรือมีเหตุผลอื่นอยู่เบื้องหลังมากน้อยแค่ไหน บางเหตุผลบอกใครไม่ได้ บางเหตุผลเปิดเผยไม่ได้ เพราะบางอย่างเป็นเรื่องที่แสดงถึงความไม่พร้อมของตัวเรา … ใช่แล้วครับ แม้ว่าเราจะอยากออกไปทำงานแบบพวกเขาที่พากันไปทำออมทรัพย์รายเดือน มีตัวเลขเข้ามาเพิ่มพูนอย่างต่อเนื่อง แต่เราก็ค้นพบว่าในสถานการณ์วันนี้ คนของเราเหลือน้อยเหลือเกิน คนที่เคยอยู่กับเราในช่วงแรกๆ พากันยุติการทำงานไปหลายต่อหลายคน เพราะความยากของงาน การทนต่อแรงเสียดทานของคำปฏิเสธที่พบซ้ำแล้วซ้ำอีกไม่ได้ การขาดแคลนในเรื่องรายได้ ที่เคยมองว่าสวยหรูเวลาที่เห็นผู้อื่นได้รับ แต่ทำไมตัวเราจึงไม่มีโอกาสเช่นนั้นบ้าง? ใช่จริงๆด้วยคนของเราหายไปไหนกันหมด……

ย้อนกลับมาดูภาระค่าใช้จ่ายประจำวัน ประจำสัปดาห์ และประจำเดือน อาหาร ที่อยู่อาศัยที่เราต้องผ่อนชำระอย่างต่อเนื่อง เป็นความรับผิดชอบที่ปฏิเสธไม่ได้ อาชีพของเรางดงามมากในยามที่เราสามารถสร้างลูกค้าใหม่ๆได้ แต่เมื่อเราหยุดทำงานหรือทำน้อยลง รายได้ที่ควรจะได้ก็พลอยหยุดไปด้วย ไม่เหมือนงานประจำแบบราชการ หรือเอกชนที่วันมีหยุด มีวันลาพักผ่อน มีวันหยุดนักขัตฤกษ์ เราก็ยังรับเงินเดือนเท่าเดิม มีโอกาสรับเงินเพิ่มขึ้นทุกปี หากความชั่วไม่มี ความดีไม่ปรากฏ ก็รับกันไปหนึ่งขั้น แต่ละขั้นรับเงินเพิ่มอีกเท่าไร ก็ว่าไปตามอัตราของหน่วยงานที่ตนเองสังกัด หากความจำเป็นในเรื่องรายจ่ายยังคงมีต่อเนื่อง ในขณะที่รายได้มีการปรับลดลงบ้าง ถ้าเราไม่สร้างงานใหม่ หรือสร้างคนใหม่มาสร้างงาน โครงการออมทรัพย์รายเดือนจึงกลายเป็นทางเลือกให้พวกเราต้องนำมาพิจารณา แม้ว่าคนของเราจะมีน้อย แต่ก็ควรจะลองดูสักตั้ง ทีนี้เริ่มหันมามองหาตลาดกันดีกว่า จะไปทางไหนดีล่ะ ใกล้ๆ เพื่อนๆของเราก็กวาดไปเรียบ ขยับไปอีกหน่อย ก็จับจองได้สิทธิ์มาอวด มาโชว์เชิงบอกเล่าว่า ของฉันนะเธออย่ามายุ่ง เพราะพวกเรารู้จักกัน ให้เกียรติกัน ผมเองจึงย้อนกลับมาคิดถึงดินแดนที่แสนไกล ดินแดนแห่งอดีตที่เคยได้ใช้ชีวิตการรับราชการในช่วงเวลาหนึ่ง “ฤาว่าเราต้องกลับไป” รำพึงกับตนเอง รู้ทั้งรู้เส้นทางช่างแสนไกลเหลือเกิน เมื่อครั้งรับราชการเป็นทหารเรือนั้นกว่าจะไป กว่าจะกลับ แค่คิดก็เหนื่อยแล้ว ที่ไปก็เพราะหน้าที่ มีภารกิจ …… มาถึงวันนี้ จำใจต้องไปเพราะรายได้ที่คาดหวัง ความฝันที่เกิดขึ้นมาใหม่ เอาละ เพราะโชคชะตา เป็นเรื่องที่เราไม่มีโอกาสจะมองเห็นได้ก่อน มีแต่ความหวังที่เราจำเป็นต้องต่อสู้ เพื่อรักษาสถานะของครอบครัว ต้องสร้างรายได้เพื่อให้ลูกๆทั้งสามคนได้มีโอกาสทางการศึกษา เติบโตไปในวันข้างหน้า สร้างงาน สร้างอาชีพต่อไป …. ต้องไป

โชคดีเหลือเกิน จังหวัดที่ผมตัดสินใจเลือกครั้งแรกคือจังหวัดนครพนม ดินแดนที่ไกลสุดเขตแดนสยาม ห่างไกลจากจังหวัดที่เพื่อนพ้องจับจองการทำงานกันไว้ ผมได้แวะกราบแม่แดง คุณแม่อรอรัก จิระปิตุพงศ์ ที่ช่วยแนะนำการเข้าพบผู้ใหญ่ของหน่วยงาน โดยท่านเคยรับราชการ ณ แห่งนี้มาก่อน ด้วยความอนุเคราะห์จากท่านผู้อำนวยการสำนักงานการประถมศึกษา ที่เล็งเห็นคุณค่าของการเสริมสร้างสวัสดิการให้กับข้าราชการในสังกัด ท่านจึงเซ็นอนุญาตให้ทำการประชาสัมพันธ์ได้ ผมจึงหอบความยินดีเดินทางกลับกรุงเทพฯ เพื่อเตรียมเอกสารต่างๆ นำมาร่วมประชุมในโอกาสต่อไป โดยก่อนเดินทางกลับ แวะเยี่ยมยามถามข่าวจากพี่น้องครูอาจารย์ที่เคยร่วมกิจกรรมในอดีต เป็นการโยนหินถามทางเรื่องการประกันชีวิต และพบว่าตลาดของข้าราชการมีโครงการอะไรต่างๆมามากมายแล้ว ใครเขาจะมีเงินเหลือมาซื้อประกัน มาทำประกันชีวิตกับพิชิตกันล่ะ พิชิตเอ๋ย ? แบกความดีใจมาส่งใบตอบรับยังฝ่ายออมทรัพย์รายเดือน และบอกความประสงค์จะทำทั้งจังหวัด พบเงื่อนไขใหม่คือเพียงมีสิทธิ์แค่อำเภอเมืองเท่านั้น ทำให้เราสงสัยว่าแล้วเพื่อนๆเราไฉนจึงได้สิทธิ์ทั้งจังหวัด คำตอบคือทีมอื่นคนเยอะเลยใช้สิทธิ์ทำขยายได้ครอบคลุมทั้งจังหวัด บทเรียนแห่งชีวิตกำลังได้รับการเรียนรู้ ชื่อเสียงยังไม่มี บารมียังไม่ครอบคลุม แอบมองตัวเลขจังหวัดของเพื่อนที่ทำทั้งจังหวัดมียอดต่อเดือน 310,000 บาทเศษ เกิดความคิดขึ้นมาพลันว่า ถ้าเรามีตัวเลขขนาดนี้ เราคงเริ่มเป็นผู้มีบารมีบ้าง!!

เป็นคราวเดียวกับที่พี่จ้อย พบกันแล้วทราบเรื่อง จึงเกริ่นว่า ทำไมไม่ทำ “จีอี” อะไรคือ GE และ GE คืออะไร ใช่ general extra หรือเปล่า … เอาละๆ พี่จ้อยบอกว่า อีก 2-3 วันจะมีการประชุมของฝ่ายประกันหมู่ แนะนำสินค้า และทุกๆอย่าง ไปลองฟังดูไหม ผมตอบทันทีครับ “ไป” ทั้งๆที่ในอดีตเคยเดินผ่าน เคยเข้าฟังบ้าง แต่เป็นการเข้าฟังภายใต้ความสนใจว่า ในการสัมนาครั้งนั้นๆ ช่วงท้ายมีการจับสลากแจกคอมพิวเตอร์ ตู้เย็น ทีวี ฯลฯ ทำให้การมาฟังการบรรยาย คือการนำร่างกายมา แต่ปราศจากจิตวิญญาณแห่งการรับรู้ ….. แต่ครั้งนี้ ครั้งที่โลกของเรากำลังจะเปลี่ยนแปลง ใช่หรือไม่ ก็ยังไม่รู้…. จึงตัดสินใจโทรศัพท์เข้ามาหาเจ้าหน้าที่ ซึ่งไม่เคยใส่ใจที่จะรู้จักมาก่อน โชคดีได้คุยกับคุณขวัญชาติ อินทกรณ์ ทำให้เกิดการนัดหมายคุยส่วนตัวก่อนสัมนาจริง ช่างน่าทึ่งอะไรสำหรับสินค้าตัวนี้ GE คือ Group Endowment ที่มีการสะสมเงินไว้ใช้ในวัยเกษียณของข้าราชการ พร้อมความคุ้มครองชีวิต พ่วงด้วยสวัสดิการคุ้มครองอุบัติเหตุ 100,000 บาท พร้อมค่าชดเชยรายวันอีกวันละ 500 บาท ฝากขั้นต่ำ 178 บาทก็ได้ สนุกละซิครับ เมื่อใจเปิด ความคิดก็บรรเจิด มีสีสัน ความมันส์กำลังจะเกิดขึ้น เริ่มเรียกร้องทีมงานในสังกัด ในเครือ ให้หันมามองสินค้าตัวนี้ ได้รับการขานรับระดับหนึ่ง นั่นหมายความว่าวันสัมนา พวกเราก็ตั้งใจมาเรียนรู้จากวิทยากรฝ่ายประกันหมู่ เป็นความตั้งใจตั้งแต่นาทีแรกจนกระทั่งวินาทีสุดท้าย ความรู้ที่ได้ พลังความคิดที่สร้างสรรค์ เกิดก่อตัวเรียงร้อยเป็นรูปร่าง เรากำลังจะพบกับความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ เรากำลังจะรวยด้วยลูกค้า ทรัพย์สิน และอนาคตที่ยิ่งใหญ่ทางการตลาด เรากำลัง……ฯลฯ ผมเริ่มไม่ง่วง ไม่เพลีย ไม่เหนื่อย จิตใจถูกปลุกขึ้นมาฮึกห้าวเหิมหาญ จนคุณวาสนาต้องบอกว่า อย่าเพิ่งกังวลเรื่องตัวเลขโควต้าหน่วยนัก เดี๋ยวจะพาไปหาเพื่อน เผื่อจะขายรายใหม่ๆได้

ผมตัดสินใจเรียกลูกๆทั้งสามคนมาประชุมอย่างค่อนข้างคล้ายจะเป็นทางการ เหมือนกับประชุมตัวแทนและบอกพวกเขาว่า “ลูกรัก…พ่อรักลูกๆทั้งสามคนเสมอ พ่อห่วงหนูทั้งสามคนตลอดเวลา เลือกได้พ่อจะอยู่ดูแลหนูไม่ให้คลาดสายตา และเฝ้าเข้มงวดให้ลูกๆขยันเรียน โดยปัจจุบันนี้ คะแนนที่ปรากฎพ่อก็ยังไม่คลายกังวลใจไปได้ แต่สถานการณ์ในวันนี้ ภาระค่าใช้จ่ายมากขึ้นเรื่อยๆ หากพ่อยังคงอยู่ที่เดิม ดูแลลูกๆเช่นนี้ ไม่นาน ลูกก็คงไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสือสูงกว่านี้ หรือได้เรียนในมหาวิทยาลัยที่ดีๆได้ การที่พ่อต้องออกเดินทางไปทำงานต่างจังหวัดกับอาวาส เพื่อสร้างโอกาสในเรื่องรายได้ เพื่ออนาคตของทุกๆคน สิ่งที่ลูกๆจะทำให้พ่อชื่นใจได้ คือการเป็นเด็กดี ตั้งใจเรียนหนังสือ สิ่งที่จะเป็นเครื่องชี้วัดให้พ่อรับรู้ได้ คือเกรดการเรียนของลูกที่ปรากฏในกลางภาค และปลายภาค ลูกๆพอจะทำให้พ่อสบายใจได้ไหมลูก” พวกเขาพร้อมใจกันรับปาก และจากวันนั้น เส้นทางแห่งชีวิตของข้าพเจ้าก็ถูกเขียนขึ้นอย่างตั้งใจอีกครั้งหนึ่ง “อ่านคำบรรยายจดหมายถึงพ่อ หนูยังรอวันพ่อกลับบ้าน กล้ามะละกอที่พ่อนั้นหว่าน แยกปลูกไม่นานลูกโตน่าดู….ทานตะวันชูคอ ชูช่อรออยู่ คงชะเง้อดูรอพ่อกลับมา กระถินริมรั้ว สูงขึ้นเลยบ่า ยอดกระดังงาเลื้อยลงประตู ทานตะวันชูคอ ชูช่อรออยู่ คงจะรอดูพ่อรวยกลับมา” ใช่แล้วครับ เพลงของอิ๊ด ฟุตบาท ที่ผมฟังแล้ว ฟังอีก ฟังอีก ฟังแล้ว แล้วก็เฝ้าฟัง น้ำตาใสๆก็ไหลออกมาเป็นบางครั้ง ใช่แล้วลูกเอ๋ย พ่อจะร่ำรวยกลับมา นอกจากอุดมการณ์ที่พ่อจะต้องทำ พวกเรายังจะต้องยืนหยัดอยู่ในสังคมด้วยความเป็นอยู่ และโอกาสในวันข้างหน้าที่ดีขึ้น ถนนเส้นนั้น….สระบุรีเลี้ยวขวา เส้นทางสายนี้เป็นเส้นทางสายเดิมที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง แต่วิถีชีวิตของผมกำลังจะเปลี่ยนไป จากนักขายประกันชีวิตรายเดี่ยว ที่เติบโตมาจากนักขายประกันชีวิตรายปี ผลงานปีแรกมีลูกค้า 25 รายปี ปีที่สองมีผลงาน 78 ราย และปีที่สามสามารถสร้างผลผลิตได้ 72 ราย มีความสามารถติดคุณวุฒิระดับ MDC 2 ปีซ้อน แม้ไม่โดดเด่น แต่ก็ไม่ด้อยค่าของความเป็นตัวแทนมืออาชีพ จากนักขายรายปีดังที่กล่าวมา คิดจะมาทำการขายประกันแบบออมทรัพย์รายเดือน ตามเพื่อนฝูงที่เดินทางล่วงหน้ามาก่อน กลับเปลี่ยนแนวทางมาขายประกันกลุ่ม พบคนทีละมากๆ โดยต้องจัดการประชุมเป็นกลุ่มตามความเหมาะสมในแต่ละพื้นที่ เราเดินกันคนละทาง สร้างดาวกันคนละดวง เพื่อผลพวงของความสำเร็จในชีวิตอันเป็นเป้าหมายของทุกคน

ตั้งแต่วันที่ 23 มิถุนายน 2541 ที่ได้รับอนุญาตให้ดำเนินการประชาสัมพันธ์โครงการสวัสดิการประกันหมู่สะสมทรัพย์กองทุนเกษียณอายุ และได้ผ่านการประชุมกับผู้บริหารสูงสุดในระดับจังหวัด ได้รับการยอมรับจากทุกๆท่านเป็นอย่างดี ด้วยความเห็นชอบร่วมกันที่ให้โครงการนี้จัดเป็นสวัสดิการเพิ่มเติมให้กับข้าราชการแบบสมัครใจ โดยท่านประธานการประชุมได้หยิบยกเรื่องของการออกรบในสมัยบรรพกาลว่า ก่อนที่ขุนศึกจะออกทำการรบ กษัตริย์ในยุคบรรพบุรุษจะปลอบขวัญนักรบของพระองค์ว่า “จงออกไปรบอย่างเต็มกำลัง หากชีวิตของพวกเอ็งหาไม่แล้ว เราจักดูแลครอบครัวของพวกเอ็งอย่างดี” ทำให้ขวัญและกำลังใจของนักรบเหล่านั้น เปี่ยมไปด้วยพลัง พร้อมที่จะทำการรบเพื่อชัยชนะ เพื่อปกป้องประเทศชาติอันเป็นที่รักยิ่ง โดยไม่ต้องพะวงหลัง เมื่อผมได้ผ่านขั้นตอนการประชุมระดับจังหวัดเรียบร้อย ขั้นตอนต่อไป พวกเราเตรียมแผนงานเพื่อเร่งทำการประชาสัมพันธ์ให้กับผู้บริหารระดับสำนักงานการประถมศึกษาระดับอำเภอ ซึ่งประกอบไปด้วยหัวหน้าการประถมศึกษา ผู้อำนวยการโรงเรียน อาจารย์ใหญ่ ครูอาจารย์ต่างๆ เพื่อรับทราบผลประโยชน์ของโครงการประกันหมู่ นำไปบอกเล่าให้ข้าราชการในสังกัดของตนเองได้รับทราบ ดังนั้นทีมงานของผมที่จัดไปลงพื้นที่ รวม 4 ชีวิต โดยผมพาเลขานุการไปทำงานด้วยกัน ใช่แล้วครับ เราจำเป็นต้องปิดหน่วยชั่วคราว เพราะพวกเรากำลังตัดสินใจไปสร้างผลงานใหม่ เป็นงานที่พวกเรายังไม่มีความถนัด เรายังไม่รู้ว่า จะทำให้เป็นจริงได้แค่ไหน และความสำเร็จจะเกิดขึ้นได้อย่างไร? ก่อนเดินทางตัดสินใจเขียนข้อความแปะไว้หน้าห้องทำงานว่า “ไปต่างจังหวัดทั้งทีมงาน มีธุระใดๆโปรดติดต่อ 152 เรียก 185787” พร้อมวงเล็บข้อความตัวเล็กๆไว้ว่า “ไม่สำเร็จ ไม่กลับ”

เป็นเรื่องที่น่ายินดีสำหรับในช่วงการเริ่มต้น ที่เราสังเกตุว่า หน่วยงานราชการของครูอาจารย์ มักมีหน่วยงานของตำรวจอยู่ไม่ห่างไกลนัก ผมจึงตัดสินใจขอทำโครงการตำรวจภูธรจังหวัดนครพนมเพิ่มเติม เพื่อจัดทำไปพร้อมๆกัน ซึ่งกระบวนการนำเสนอครั้งแรก ก็ผ่านความเห็นชอบไปได้ ทำให้การไปประชุมตามอำเภอต่างๆของทีมงาน จึงมีเรื่องราวหลากรส หลายอารมณ์เป็นแบบผสมผสาน อ่อนน้อม และสุขุมในแบบฉบับการเสนอขายครูบาอาจารย์ แต่สนุกสนาน เข้มแข็งในยามถ่ายทอดให้กับข้าราชการตำรวจ

กลางปี 2541 ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมิถุนายน ถึงเดือนกรกฎาคม 2541 เป็นช่วงฤดูฝนที่ต้องเผชิญกับสายฝนที่ตกกระหน่ำในบางวัน และท้องฟ้าสดใสในช่วงเวลาต่อมา พวกเราทีมงานสี่ชีวิตได้พบกับความมีน้ำใจที่งดงามจากครูบาอาจารย์ทั่วทั้งจังหวัดนครพนม ทุกอำเภอ กิ่งอำเภอ ทุกหมู่บ้านที่พวกเราฝ่าสายฝน ลุยผ่านโคลนตมในบางครั้ง เพื่อเข้าไปประชุมแบบกระจายไปในแต่ละพื้นที่ ผ่านป่าเขาลำเนาไพร มองเห็นธรรมชาติที่สวยงามหลากหลาย ชาวบ้านในท้องถิ่นที่ห่างไกลปืนเที่ยง น้ำใสใจคอที่มีความเอื้ออารีต่อกัน ในยามสอบถามเส้นทางที่เราเริ่มหลงทิศที่จะไป แม้จะมีแผนที่ทางการศึกษาอยู่ในมือก็ตาม แต่แผนที่ที่มีนั้นเป็นภาพกว้างๆ เรียนรู้ที่จะทานอาหารพื้นเมือง เพื่อกลืนวิถีชีวิตของพวกเราให้เข้ากับผู้คนท้องถิ่น การต้อนรับที่เปี่ยมไปด้วยน้ำใจของผู้บริหารโรงเรียนทุกเขตพื้นที่ รวมทั้งหมด 13 อำเภอ ทุกๆโรงเรียนได้สร้างความประทับใจไว้ในความทรงจำของพวกเรา บ่อยครั้งที่พวกเราพูดคุยกันว่า วันนี้เป็นวันที่ทุกท่านให้โอกาสกับทีมงานของเราในการตัดสินใจสมัครเข้าร่วมโครงการประกันหมู่ เป็นเพราะพวกเขามีความเชื่อว่า พวกเรากำลังนำสิ่งที่ดี มีคุณค่ากับทุกๆคนในอนาคต ทุกท่านมีความหวังที่จะมีสวัสดิการเพิ่มเติมส่วนหนึ่งไว้ พร้อมกับการเก็บออมในจำนวนเงินที่เลือกได้ตามกำลังความเหมาะสมของแต่ละท่าน พวกเราจะต้องใส่ใจ ดูแล พัฒนาการบริการให้ดีมากขึ้นไปเรื่อยๆ พวกเราต้องมีปณิธานที่ชัดเจนในการทำงาน อย่าเพียงทำเพื่อผลประโยชน์ของงานที่พวกเราได้รับ แต่ต้องสำนึกถึงความรับผิดชอบ รู้หน้าที่ที่จะต้องดูแลติดตาม เพื่อให้พวกเขาสมหวัง สมดังที่ตั้งใจเลือกเราเป็นตัวแทนของครูอาจารย์

แต่ละวันของการเดินทางไกลจากตัวจังหวัดมากบ้าง น้อยบ้าง แม้จะเหน็ดเหนื่อยต่อการเดินทาง มากมายด้วยการตอบปัญหา ข้อสงสัยที่หลายๆท่านอยากรู้ และความไม่เชื่อถือในสัญญาบางอย่างที่จะเกิดขึ้นว่าจะซื่อสัตย์เป็นจริงได้หรือไม่ ด้วยเหตุผลจากเรื่องราวในอดีตที่ผ่านพบมาจากบางแห่ง บางที่ที่เคยสร้างวีรกรรมไว้ ได้สร้างความผิดหวังจนตราตรึงอยู่ในความทรงจำ พวกเราต้องอธิบายมากขึ้นจนทุกอย่างคลี่คลายในระดับที่บางท่าน ยอมตัดสินใจสมัครเข้าร่วมโครงการ เป็นผู้ทดลองแทนกลุ่มเพื่อนที่ประวิงเวลาไว้ดูอนาคตว่าจะเป็นจริงเช่นที่กล่าวอ้างหรือไม่ พวกเราขับรถผ่านสถานที่มากมาย เมื่อมองไปยังด้านฝั่งโขง ประเทศลาว เพื่อนบ้านของเรา ธรรมชาติทิวเขาที่มองเห็นลิบๆเบื้องหน้าโน้น สร้างความสดชื่นขึ้นมาในหัวใจ ถ่ายภาพเก็บไว้เป็นที่ระลึก นึกถึงบทเพลงของพี่หงา คาราวาน “ใกล้ตา ไกลตีน” ที่เคยร้องไว้ในอดีต และคุณสุนทรี เวชานนท์ ที่เคยร้องไว้เช่นเดียวกัน เนื้อหาบทเพลง ดังก้องอยู่ในหัวใจตลอดเวลา “ไกลโอ้ไกล จากโพ้นขอบฟ้า เรา…จากมาด้วยการก้าวย่าง จากกลิ่นฟาง รอยยิ้ม เจ้าเอย ใครเล่าเคย ใครเล่าเคย พี่น้องเอ๋ย … จะเล่าให้ฟัง ตามทิวเขา ที่ยาวเหยียดฟ้า ตามหมู่ปลา ลำธารใสสด ตามหมู่มด ที่ร้างเลิกรัง ไปจากหลัง ใจฝากฝัง ฝากเจ้าไว้ ในแผ่นดิน ดินเคยนอน สะท้อนอุ่นกาย มองยอดไม้ เมื่อยามแรกผลิ ปริกิ่งรวง เป็นพวงพุ่มใบ น้ำที่ไหล หลั่งลงจากดอย ใจเจ้าลอย ไปสู่ท้องทุ่ง มุ่งสู่เมือง เฟื่องฟุ้งแปลกตา เจ้าเคยยิ้ม เคยแย้มเบิกบาน สนุกสนาน ท่ามกลางผองเพื่อน เคยพูดเตือน และสนทนา เจ้าเคยฝันถึงวันที่ดี มาบัดนี้ไม่อาจพบหน้า ดูใกล้ตา แต่แล้วไกลตีน แผ่นดินที่หอม แผ่นดินที่ตรอม จะกอดเจ้าไว้ ยังไออุ่นกัน รักเจ้าไว้ ยังไออุ่นกัน ฝันเจ้าฝันให้ไกลที่สุด เจ้ามนุษย์ เจ้าหวังสิ่งใด รักเจ้าไว้ ยังไออุ่นกัน ฝันและฝันให้ไกลที่สุด เจ้ามนุษย์ เจ้าหวังสิ่งใด”

ตั้งแต่เริ่มทำการประชาสัมพันธ์โครงการ ผมตัดสินใจว่า การเดินทางตลอดเส้นทางนอกจากมีโรงเรียนเป็นจำนวนมากที่มีอยู่ในทุกแห่งแล้ว สถานีตำรวจเป็นอีกหน่วยงานหนึ่งที่มีควบคู่กันไปเสมอในแต่ละอำเภอ กิ่งอำเภอ จึงประสานงานกับกองบังคับการทางจังหวัดเพื่อรับทราบแนวทางการจัดประชุมของแต่ละสถานี เพื่อหาโอกาสเสนอโครงการ GE180 ไปพร้อมๆกับหน่วยงานของข้าราชการครู การเข้าพบเพื่อนำเสนอโครงการให้กับข้าราชการตำรวจ แรกๆ พวกเราก็มีความประหม่า กลัวว่าท่านทั้งหลายที่มีความน่าเกรงขามด้วยหน้าที่ของการเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ เป็นผู้ถือกฎหมาย รู้กฎหมายสารพัด จะเออออห่อหมกเห็นด้วยกับการประกันหรือไม่ ตั้งแต่วัยเด็กพ่อเคยสอนเสมอว่า “อยากได้ลูกเสือ ต้องเข้าถ้ำเสือ” สถานการณ์ในตอนนี้ เมื่อพวกเรามีความตั้งใจที่จะมาสร้างสวัสดิการ พร้อมที่จะเป็นวีรบุรุษของหญิงหม้ายและเด็กกำพร้า หรือได้เป็นบุคคลที่ได้รับการยอมรับในบั้นปลายของชีวิตของพวกเขาในวันที่ถึงวันเกษียณอายุราชการ เมื่อมองภาพตรงนี้ชัดเจนในสิ่งที่พวกเรากำลังทำ เป็นการสร้างความดีงามที่ต้องอาศัยความเพียร ไฉนเลยจะต้องมาหวาดกลัว นั่นเป็นการสร้างกำลังใจในการทำงานของพวกเรา และมีพลังภายในจิตใจเกิดขึ้น พร้อมที่จะนำความรู้ไปถ่ายทอดให้กับข้าราชการตำรวจได้รับทราบอย่างทั่วถึงและทุกสถานี ทำให้ค้นพบว่า ตำรวจทุกนายมีอัธยาศัยที่ดีงาม และเป็นมิตรกับประชาชน พร้อมให้ความร่วมมือ มอบความไว้วางใจให้ทีมงานของพวกเราได้ดูแล อีกทั้งผลพวงของโครงการสวัสดิการประกันหมู่ข้าราชการตำรวจ และข้าราชการครู ยังสอดคล้องร้อยใจเป็นหนึ่งเดียว เพราะคุณตำรวจผู้เข้าร่วมทำโครงการ ได้ตัดสินใจยกผลประโยชน์ให้กับภรรยาที่เป็นข้าราชการครู พร้อมๆกับข้าราชครูผู้เข้าร่วมทำโครงการประกันหมู่ ยกผลประโยชน์ให้กับสามีผู้เป็นตำรวจ และลูกรัก ช่างเป็นความรู้สึกที่แสนอบอุ่นเหลือเกิน

เมื่อวันที่พวกเราเริ่มต้นทำงานในวันแรกๆ สำหรับการขายประกันหมู่ นับว่าเป็นเรื่องใหม่ที่พวกเราต้องเรียนรู้ แนวทางที่จะทำการขาย ซึ่งการขายประกันหมู่จะไม่เหมือนกับการขายประกันชีวิตแบบรายปี การขายรายปีเป็นการพูดคุยแบบตัวต่อตัว เป็นการค้นหาความต้องการแบบเฉพาะในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เช่นคนโสดเน้นการสร้างความคุ้มครองและการออมเงินไว้ใช้ในยามเกษียณอายุ คนมีครอบครัวเน้นการสร้างความคุ้มครองเป็นหลัก ปกป้องความสามารถในการหารายได้มาเลี้ยงดูครอบครัว ด้วยการเตรียมเงินจำนวนหนึ่งไว้ ยามที่เกิดเหตุไม่คาดฝัน เงินจำนวนหนึ่งที่เตรียมไว้ ได้กลายมาเป็นเงินสำรองไว้ให้ครอบครัวได้ใช้จ่ายไปอีกชั่วระยะเวลาหนึ่ง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจทำทุนประกันไว้มากหรือน้อย ตามกำลังทรัพย์ที่สามารถจ่ายเบี้ยประกันแบบชำระรายปี,รายงวด 6 เดือน,รายงวด3 เดือนเข้ามาได้ ส่วนการขายประกันแบบออมทรัพย์รายเดือน เน้นการสร้างความเข้าใจเป็นกลุ่มเพื่อให้ผู้สนใจ มีความเข้าใจในสินค้า สอบถามรายละเอียดในเรื่องต่างๆที่ผู้รับฟังสงสัย เมื่อผู้เข้าร่วมรับฟังต้องการเข้าร่วมโครงการ การกรอกใบสมัครต้องสอบถามข้อมูลรายบุคคลอย่างละเอียดตั้งแต่ชื่อ สกุลผู้สมัคร คู่สมรส สถานที่อยู่ ที่ทำงาน ตำแหน่งหน้าที่ ความรับผิดชอบ ประวัติด้านสุขภาพ ผู้รับประโยชน์ พร้อมด้วยข้อมูลอื่นๆ ที่สำคัญรวมเอกสารที่ต้องกรอกประมาณสี่หน้ากระดาษ และสำเนาบัตรประชาชน บัตรข้าราชการ หรือสำเนาทะเบียนบ้านที่พิสูจน์ความสัมพันธ์ของผู้รับประโยชน์ จึงเห็นได้ว่าการขายออมทรัพย์รายเดือน กับการขายประกันชีวิตรายปี ด้านข้อมูลการกรอกรับสมัครไม่มีความต่างกัน มีความต่างในเรื่องการชำระเบี้ยประกันที่รายเดือนจ่ายน้อยกว่า เพราะนำเบี้ยประกันรายปีเต็มจำนวน มาคำนวณจ่ายต่อเนื่อง 12 งวด ทำให้ง่ายต่อการตัดสินใจ นำเสนอได้คราวละหลายๆคน มีการหักบัญชีผ่านหน่วยงานต้นสังกัด โดยผู้สมัครต้องให้ความยินยอมในการหักเบี้ยประกัน และการทำงานประชาสัมพันธ์ พร้อมกับการกรอกรับสมัครต้องใช้คนทำงาน 3-4 คนขึ้นไป เพราะในการประชุมชี้แจงให้คนรับฟังคราวละมากๆ หากมีผู้สนใจต้องการเข้าร่วมโครงการหลายคน การรับสมัครแต่ละคนใช้เวลากรอกข้อมูลมาก การสนองตอบความต้องการไม่ทันใจทันเวลา อาจทำให้ผู้ที่อยากทำประกันเปลี่ยนใจได้ง่าย ดังนั้นการใช้คนในการออกภาคสนามต้องมีคนมากพอต่อการทำงาน

งานขายประกันหมู่เป็นงานใหม่จริงๆ สำหรับพวกเรา แต่ช่วงเวลานั้นสินค้าประกันหมู่เป็นสินค้าที่มีมานานมากแล้ว มีเพียงกลุ่มคนจำนวนน้อยมากที่ให้ความสนใจในการนำสินค้าประกันหมู่เสนอต่อหน่วยงาน หรือองค์กรต่างๆ ยังไม่มีการแนะนำวิธีการทำตลาดอย่างเป็นรูปธรรม ทำให้ทีมงานของเราต้องนำประสบการณ์ในการทำงานขายประกันชีวิต นำแนวทางการขายแบบออมทรัพย์รายเดือนมาประยุกต์ใช้แบบผสมผสาน และเริ่มเรียนรู้กระบวนการต่างๆในสถานการณ์จริงของการทำงานในแต่ละวัน เมื่อผ่านกระบวนการนำเสนอให้กับผู้บริหารในที่ประชุมระดับอำเภอเรียบร้อยแล้ว ถึงเวลาที่ต้องลงพื้นที่ปฏิบัติการจริงตามโรงเรียนทุกโรงเรียนที่ผมเองได้วางแผนการทำงานในแต่ะละวัน ยุทธวิธีที่ผมนำมาเลือกใช้คือการทำงานแบบกระจายกลุ่มในพื้นที่สามเหลี่ยม เช่นแห่งที่หนึ่ง แห่งที่สอง แห่งที่สาม อยู่ในบริเวณสามเหลี่ยมหน้าจั่ว โดยเน้นโรงเรียนที่มีข้าราชการจำนวนมากกว่าไปหาน้อย พร้อมเตรียมกลุ่มสามเหลี่ยมชุดที่สอง ชุดที่สาม ชุดที่สี่ เพื่อทำงานต่อเนื่องในแต่ละวัน เป็นการเดินทางอย่างทั่วถึงแบบกระจายทุกพื้นที่แบบวงกว้าง และทำสลับกันวันละอำเภอ เพื่อสร้างกระแสข่าวสารเป็นการกระเพื่อมข้อมูลในเกิดการรับรู้อย่างเป็นระบบ ด้านเอกสารการนำเสนอโครงการพร้อมตัวอย่าง ถูกนำเข้าช่องรังผึ้งของทุกโรงเรียนในอำเภอนั้นๆ ทุกวันจะมีเจ้าหน้าที่จากโรงเรียนมารับเอกสารนำกลับไปให้ผู้อำนวยการ,อาจารย์ใหญ่ ของแต่ละโรงเรียน ได้รับทราบและแจ้งให้คณะครูอาจารย์ทราบว่ามีเรื่องราวใดบ้างที่น่าสนใจ เมื่อใช้เวลาประมาณ 2-3 วันผ่านไป ยามที่พวกเราได้เข้าไปขออนุญาตทำการประชุมเพื่อชี้แจงข้อมูลโครงการสวัสดิการประกันหมู่ จึงได้รับการต้อนรับจากผู้มีอำนาจในสถานที่แห่งนั้นๆ และได้รับความร่วมมือจากครูอาจารย์เข้าร่วมรับฟังโครงการที่ควรจะเป็นประโยชน์กับทุกๆคนที่มีความสมัครใจเข้าร่วมโครงการ เริ่มประชุมชี้แจงในวันแรกๆ พวกเราไปพร้อมกันทั้งสี่คน ผมเป็นผู้นำเสนอให้ที่ประชุมได้รับทราบ โดยท่านผู้อำนวยการโรงเรียน หรืออาจารย์ใหญ่ หรือครูใหญ่ หรือผู้ช่วยที่รักษาการณ์แทน เป็นประธานในการประชุม ทุกๆแห่ง ทุกๆที่ ทุกท่านได้ให้ความเมตตากับทีมงานของพวกเราอย่างมาก เมื่อตอบข้อซักถามจนคลายความกังวล สงสัย และเกิดความมั่นใจว่า โครงการสวัสดิการประกันหมู่ ส่วนหนึ่งของเงินที่มีการหัก ณ ที่จ่าย เงินส่วนแรกเป็นเงินออมที่จะได้รับเมื่อวันครบกำหนดวันเกษียณอายุ ออมน้อยได้น้อย ออมมากได้มาก ตั้งแต่การออม 100 บาทถึง 2,000 บาท นอกจากการออมเงินแล้วผลตอบแทนของการออมเงินส่วนนี้ ยังเพิ่มค่าความคุ้มครองด้านทุนประกันชีวิตให้เติบโตไปด้วย สำหรับทุนประกันที่ให้ความคุ้มครอง ขึ้นอยู่กับแผนที่เลือก 100,200,300,400,500…..2,000 บาท ส่วนที่สองเป็นด้านสวัสดิการ 78 บาท ได้รับสวัสดิการความคุ้มครองอุบัติเหตุจากรถยนต์ชนกัน ฆาตกรรม ลอบทำร้าย ขับขี่ซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซด์ อุบัติเหตุทั่วไป และอุบัติเหตุขณะมึนเมาสุรา วงเงินคุ้มครอง 100,000 บาท และให้ความคุ้มครองเป็น 2 เท่าวงเงินคุ้มครอง 200,000 บาทในกรณีเกิดอุบัติเหตุจากสาธารณภัย เช่นการโดยสารรถเมล์ รถไฟ ในลิฟท์ ไฟไหม้โรงหนัง โรงแรม และอาคารสาธารณะ พร้อมด้วยผลประโยชน์ชดเชยรายวันสำหรับการเข้ารักษาในโรงพยาบาล วันละ 500 บาท สูงสุด 100 วันต่อครั้ง โดยแผนสวัสดิการที่กล่าวมาข้างต้นได้รับสวัสดิการความคุ้มครองเท่ากันในทุกๆแผนที่เลือก เมื่อจบการบรรยายแต่ละครั้งหลายท่านสนใจพร้อมตัดสินใจสมัครเข้าร่วมโครงการด้วยการกรอกใบสมัครเพียง 1 แผ่น เขียน ชื่อ สกุล สมาชิก หน่วยงานที่สังกัด ที่อยู่ วันเดือนปีเกิด อายุ ส่วนสูง น้ำหนัก ผู้รับประโยชน์ พร้อมระบุความสัมพันธ์ ที่อยู่ของสมาชิก และตอบคำถามเกี่ยวกับสุขภาพ 5 ข้อ เซ็นยินยอมให้หน่วยงานต้นสังกัดหักเงินเดือนเพื่อชำระเบี้ยประกันภัยกลุ่ม ณ ที่จ่าย พร้อมลายเซ็นชื่อสมาชิกผู้สมัคร ด้วยขั้นตอนง่ายๆดังที่อธิบายมาทำให้ข้าราชการและลูกจ้างที่เข้าร่วมรับฟัง ตัดสินใจไม่ยากนัก เพราะตลอดการแนะนำการกรอกข้อมูลทุกท่านที่สนใจได้เขียนไปพร้อมๆกับการอธิบาย โดยคงเหลือเพียงการเลือกแผนว่าจะตัดสินใจออมเงินเดือนละเท่าไร ตรงนี้ละครับ ที่หลายท่านที่มีเงินเหลือใช้จ่ายก็มักเลือก 500 บางท่านเลือก 1,000 ก็พากันชื่นชมปรบมือให้กับผู้มีวินัยในการออมที่มองเห็นคุณค่าที่จะเกิดขึ้นในอนาคต บางท่านลังเล และไม่แน่ใจว่าจะเป็นภาระในเรื่องค่าใช้จ่ายของอนาคตหรือไม่ พวกเราก็จะแนะนำให้ทุกท่านในที่ประชุมรับทราบว่า เพียงเลือกแผน 100 หรือแผน 200 ทุกท่านก็มีสิทธิ์ในสวัสดิการอย่างเท่าเทียมกัน ดังนั้น “ทำมาก ย่อมมีกว่าทำน้อย แต่การทำน้อย ย่อมดีกว่าไม่ทำซะเลย” พวกเราจึงเชิญชวนให้แต่ละท่านสร้างเสริมสวัสดิการติดไม้ติดมือพอเป็นเครื่องอุ่นใจไว้บ้าง แถมยังได้ให้เกียรติกับคุณพิชิต พิศนุภูมิ ได้มีโอกาสดูแลรับใช้ทุกท่านในวันนี้ และในอนาคต

การประชุมแต่ละโรงเรียนใช้เวลาอย่างน้อยประมาณ 1 ชั่วโมงเศษ ทำให้พวกเราเริ่มมองเห็นคุณค่าของเวลา และจำนวนวันทำงานที่มีอยู่อย่างจำกัด ผ่านการทำงานไปได้ประมาณสัปดาห์เศษ ผมต้องตัดสินใจปรับกลยุทธ์การทำงาน โดยเลือกให้คุณวาสนา พุ่มมั่นไปทำงานกับน้องเลขา คุณสังวาลย์ ภู่งาม ส่วนผมและคุณวิทยาลัย วงค์แก้ว ออกร่วมเดินทางไปทำงานเพื่อสร้างจำนวนหน่วยงานการเข้าพบให้เพิ่มขึ้นในแต่ละวัน ซึ่งทำให้อัตราการเพิ่มขึ้นของสมาชิกมีมากขึ้นตามลำดับ ประกอบกับการเติมเอกสารอย่างเป็นระบบ ในช่วงแต่ละระยะเวลา ทำให้นึกถึงประสบการณ์ครั้งในอดีตเมื่อมีการทำงานให้กับส่วนรวมโดยเป็นประธานสโมสรบ่ายวันเสาร์ให้กับเครือชุมทอง 24 ตั้งแต่การทำการประชาสัมพันธ์ข้อมูลให้ตัวแทนเกิดความสนใจเข้าร่วมประชุม การมีโอกาสไปร่วมกิจกรรมที่ยิ่งใหญ่เช่นที่สโมสรไลก้า และอีกหลายๆกิจกรรมที่เคยทำมา ถูกนำมาประยุกต์ใช้ จัดทำการโฆษณาประชาสัมพันธ์และส่งข้อมูลไปยังหน่วยงานในพื้นที่

แต่ก่อนเวลาที่เราเห็นตำรวจทั่วๆไป เรามักจะเป็นห่วงว่า จะขอตรวจใบขับขี่เราหรือไม่ ทะเบียนเราขาดอายุหรือเปล่า พ.ร.บ.ของเราติดไว้หน้ารถหรือไม่นะ หรือว่ามีการตรวจจับความเร็ว หลายอย่างที่คิดเพราะเรากลัวโดนเรียก และถ้ามีข้อผิดพลาดคงต้องเสียเงิน เสียเวลาไปชำระค่าปรับ พอมาถึงวันนี้ วันที่พวกเรากำลังรณรงค์ให้ข้าราชการตำรวจมีสวัสดิการเพื่อสร้างสิ่งที่เป็นประโยชน์กับตนเองและครอบครัว โดยโครงการที่ทุกคนมีสิทธิ์เข้าร่วม มีแผนการออมเงินตั้งแต่ 100,200,300,400,500 ไปจนถึง 2,000 บาท ลักษณะการออมและความคุ้มครองด้านทุนประกันชีวิตเป็นแบบเดียวกับโครงการสวัสดิการของข้าราชการครู ต่างกันตรงที่ผลประโยชน์ค่าชดเชยรายวันสำหรับการเข้ารักษาในโรงพยาบาลวันละ 800 บาท (มากกว่าข้าราชการครู เป็นค่าชดเชยที่เป็นสิทธิประโยชน์ให้กับข้าราชการตำรวจ) ด้านความคุ้มครองอุบัติเหตุต่างๆไม่มี ดังนั้นผู้ที่สนใจสมัครจึงเลือกแผนตั้งแต่ 100 บวกสวัสดิการ 80 เป็น 180 หรือ 280,380 ,480,580 แล้วแต่ความสมัครใจของแต่ละท่าน ดังนั้นตลอดการเดินทางกลับจากการประชุมตามหน่วยงาน โรงเรียน โรงพัก หรือสถานที่ที่มีการจัดประชุมต่างๆ ช่วงเวลาแห่งการขับรถผ่านป้อมตำรวจ พวกเรามักแวะทักทาย นำเสนอโครงการให้ข้าราชการตำรวจได้รับทราบ บางคราว เรามองเห็นท่านตำรวจตั้งด่านตรวจ เราไม่ลังเลที่จะขออนุญาตท่านแจกเอกสารประชาสัมพันธ์พร้อมแนบใบสมัคร และบอกกล่าวให้ท่านได้รับทราบว่า โอกาสดีๆมาถึงทุกท่านแล้ว ฝากพิจารณาโครงการและตัดสินใจกรอกใบสมัครนำส่งได้ที่สถานีตำรวจของท่าน วันข้างหน้าผมจะแวะมารับนะครับ อย่ากังวลเรื่องเบี้ยประกัน เพราะจะทำเรื่องส่งหักเบี้ยประกัน ณ ที่จ่ายในวันข้างหน้าอย่างพร้อมเพรียงกัน

วันและเวลาของการทำโครงการของพวกเรา ถูกกำหนดไว้ตามช่วงเวลาที่มีประมาณ หนึ่งเดือนครึ่ง ตั้งแต่กลางเดือนมิถุนายน 2541-31 กรกฎาคม 2541 ซึ่งเมื่อนับเวลาวันเสาร์อาทิตย์ วันหยุดนักขัตฤกษ์ ทำให้เรามีเวลาทำงานไม่ครบ 40 วันเพื่อสรุปการรับผู้สมัครเข้าร่วมโครงการทั้งหมด เพื่อให้ได้ผู้สมัครอย่างน้อย 30% ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดของแต่ละหน่วยงาน และส่งเอกสารการสมัครให้กับฝ่ายพิจารณาของบริษัท เอไอเอ ทำการพิจารณา เพื่อให้เกิดความคุ้มครองอย่างพร้อมเพรียงกัน โดยต้องจัดการทำรายชื่อเสนอต่อหน่วยงานต้นสังกัด หักเบี้ยประกัน ณ ที่จ่าย ซึ่งผ่านความสมัครใจของสมาชิกที่มีการยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษร ทุกกระบวนการเป็นการทำงานอย่างทุ่มเท ทุกช่วงเวลาถูกใช้อย่างเป็นประโยชน์ ท่ามกลางสายฝนที่กระหน่ำเข้ามาในแต่ละวัน แต่ละคืน เราต้องเรียนรู้ที่จะผันตัวเองจากหมู่บ้านหนึ่ง ไปอีกแห่งหนึ่ง ถ้ามองท้องฟ้าแล้วพบว่า ด้านไหนท้องฟ้าเปิด เพื่อเดินทางไปพบกับกลุ่มข้าราชการครู , ตำรวจ พวกเราพร้อมที่จะเลือกไปได้ทั้งด้านเหนือ ใต้ ออก ตก เพื่อสร้างความเข้าใจโครงการสวัสดิการประกันหมู่ให้ทุกๆท่าน รับรู้ว่ามีโครงการดีๆ เกิดขึ้นในจังหวัดแห่งนี้ และกำลังจะได้รับความคุ้มครองในวันที่ 1 ตุลาคม 2541 ที่สุดของความพยายามในการทำหน้าที่ผู้ประสานงานโครงการประกันหมู่ เพียงช่วงระยะเวลาหนึ่งเดือนเศษ ทำให้เรามีสมาชิกเข้าร่วมโครงการ 2,019 ราย คิดเป็นเบี้ยประกันหมู่รายเดือนเท่ากับ 352,630 บาท เมื่อหวนกลับไปคิดถึงหนึ่งจังหวัดของโครงการที่มีการโชว์ตัวเลขให้ผมได้ดูตอนนำใบตอบรับไปส่งบริษัทครั้งนั้น ก็รู้สึกดีใจที่ทีมงานของพวกเราแม้จะมีคนทำงานเพียงสี่คน ใช้เวลาที่จำกัดสามารถทำผลงานได้ขนาดนี้ก็มีความภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง ส่งผลให้การนับผลงานประกันหมู่เป็นเบี้ยประกันรวมทั้งปี จำนวน 4,231,560 บาท

เป็นการเรียนรู้ครั้งสำคัญในของชีวิตของผม สำหรับการเดินทางที่แสนไกลจากภูมิลำเนาเดิม เป็นการสร้างพันธะสัญญาทางใจที่เกิดขึ้นกับมวลชน เป็นความรับผิดชอบทั้งหน้าที่ของการเป็นผู้ประสานงานโครงการสวัสดิการประกันหมู่ เป็นสำนึกที่ต้องตอบแทนน้ำใจจากผู้คนมากมายที่ให้โอกาสคนๆหนึ่งเข้ามารับใช้สังคม ผมพร้อมที่จะต่อเติมเสริมความมั่นใจให้กับข้าราชการที่ตั้งใจและตัดสินใจเข้าร่วมโครงการกับพวกเรา ด้วยสมอง กับสองมือ ที่สร้างสรรค์ จึงเกิดงาน ที่ยิ่งใหญ่ ดั่งใจหวัง กว่าจะรวบ รวมเป็นชิ้น ก่อนสิ้นพลัง ก็ถึงฝั่ง ที่หมาย ดั่งใจปอง ฝ่าความยาก ลำบาก ขวากหนามกั้น ต้องบากบั่น สู้ไป ด้วยใจผยอง ปลุกรุกเร้า จิตใจ ให้ลำพอง ฟ้าคะนอง ฝนกระหน่ำ ต้องทำงาน สวรรค์รู้ เป็นใจ ให้โอกาส แม้จะพลาด บางครั้ง กลับสร้างฐาน ให้เป็นครู เรียนรู้ คู่สถานการณ์ เป็นวันวาน ให้จดจำ ทำต่อไป

ในโอกาสที่บริษัท เอไอเอ ครบรอบ 60 ปีทางฝ่ายประกันหมู่ได้จัดงานสัมนา โดยเชิญวิทยากรผู้ประสบความสำเร็จในการขายประกันหมู่กับหน่วยงานใหญ่ เป็นจำนวนมาก อาทิเช่น คุณรัตนา จันทร์เล็ก คุณศิรนุช สะวิคามิน คุณวศิน ทองประเสริฐ คุณจักรเพ็ชร์ ประดิษฐ์ผล (ตำนานเดิมของการขายกลุ่มข้าราชการครู) คุณสกุณา โลหิตนาวี คุณสิทธิโชค กตเวทิตาธรรม พร้อมด้วยผม พิชิต พิศนุภูมิ ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ห้องบอลล์รูม วันเสาร์ที่ 26 กันยายน 2541 ช่วงบ่าย เป็นเวลาเดียวกับคุณแอ๊ด คาราบาว และคุณปู พงษ์สิทธิ์ คำภีร์ แสดงคอนเสริต์อีกด้านหนึ่ง พี่ตุ๋ม พิชิต พิศนุภูมิ ก็ขึ้นบรรเลงเพลงใกล้ตา ไกลตีน ของพี่หงา สุรชัย จันทิมาธร หนึ่งเพลงก่อนบรรยายประสบการณ์ทำงานในภาคสนาม แบ่งปันเรื่องราวที่เป็นประโยชน์ต่อมวลสมาชิกที่ให้ความสนใจเข้ามารับฟังอย่างคับคั่ง

ตอนที่ 8 หน้าที่ของผู้นำ

การจะสอนใครสักคนให้เข้าใจพร้อมเชื่อฟังคำพูดของเรา ประการแรกที่ต้องทำคือคุณต้องเข้าใจในสิ่งที่คุณกำลังจะพูด คุณต้องเชื่อในสิ่งที่คุณจะสอน นั่นหมายถึงการมีศรัทธาต่องานที่เราทำ ใครบางคนตัดสินใจมาทำงานร่วมกับเรา เป็นเพราะเขามีความเชื่อมั่นว่า คุณต้องทำให้เขาประสบความสำเร็จได้ เขามองคุณเป็นต้นแบบ เขาคาดหวังให้คุณสั่งสอนเขา จนกว่าเขาจะมีความสามารถได้ใกล้เคียงกับคุณ จงทุ่มเทในการสร้างพวกเขาที่ตัดสินใจมาร่วมงานกับทีมงานของคุณได้พบกับความสำเร็จให้จงได้ เมื่อนั้นความสำเร็จของคุณก็จะมากขึ้นตามลำดับ

ใครทำ ใครได้ รอเวลามาเกือบ 3 ปีเต็มสำหรับตำแหน่งที่ใฝ่ฝัน นั่นคือการเป็นผู้บริหารหน่วยใหม่ของบริษัท เอไอเอ จำกัด เมื่อสมใจแล้ว ณ วันที่ 1 ธันวาคม 2536 ก็เริ่มฝันถึงเป้าหมายใหม่ในลำดับถัดไป ใช่แล้วครับ ตำแหน่งผู้จัดการหน่วย ไม่รีรอที่จะหยิบคุณสมบัติของตำแหน่งนี้ว่าต้องทำอะไร อย่างไร เพื่อบรรลุในความต้องการนั้นให้ได้ ในขณะที่บางคนกำลังชื่นชม และมีความสุขกับตำแหน่งผู้บริหารหน่วยใหม่กันอยู่นั้น โดยส่วนตัวของผมเองเริ่มตระหนักถึงภารกิจที่ยิ่งใหญ่ของการเป็นผู้บริหาร การได้มาของตัวเลขที่เรียกว่าโควต้า มาจากไหนบ้างล่ะ หนึ่งต้องสร้างจากตนเอง สองต้องสร้างจากทีมงานที่ชักชวนไว้ตั้งแต่ตอนเป็นพรีซุป จึงทำการสำรวจตรวจสอบและเริ่มต้นชักธงรบตั้งแต่เดือนแรก ด้วยกลัวว่าจะทำไม่ได้ “รุกก่อนรบก่อน ชนะก่อน ขวัญและกำลังใจย่อมมีมากกว่า” การบุกหนักตั้งแต่เดือนแรกๆ ทำให้สีสันการทำงานที่สดใสเกิดขึ้น ทีมงานกระตือรือล้น พวกเขายังร่วมเดินทางด้วยกันกับผมอย่างต่อเนื่อง เหมือนคนที่เล่นกีฬา เล่นเป็นประจำ กล้ามเนื้อตื่นตัว รับรู้ เวลาจะเร่งสปีดก็สามารถทนทานได้ ดังนั้นในปีแรกของการทำงาน ทีมงานชุมทอง 24 UP ก็ฝ่าฟันอุปสรรคไปได้อย่างสวยงามทำโควต้าได้มากกว่า 150% เป็นความภูมิใจของพวกเราจากหน่วยงานเล็กๆ แต่ฝันของเราเริ่มใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ นั่นคือการเดินทางไปหาความสำเร็จอย่างไม่หยุดยั้ง ตลอดปีแรกของการทำงาน พวกเราได้เรียนรู้การสร้างคน ขยายตลาด อย่างต่อเนื่อง ทุกครั้งที่เราหยุดพัก หวังหาความสุขสบายบ้าง ก็จะค้นพบความเฉื่อยชาเข้ามาแทนที่ความกระตือรือล้น บางทีมงานที่เคยร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่มากับเราเมื่อครั้งเป็นพรีซุป ชะล่าใจในจุดเริ่มสตาร์ทของปีบัญชีการทำงาน และคาดหวังเร่งสร้างผลงานในไตรมาสที่สอง ที่สาม เริ่มค้นพบว่าความสับสนต่อการจะทำงานชิ้นไหน ก่อน หลัง สร้างความติดขัดครั้งแล้ว ครั้งเล่า เหมือนคนมีเงินเต็มกระเป๋า คิดว่าวันนี้ยังไม่ต้องทำงานอะไรก็ได้ เพราะยังมีกินมีใช้ ครั้นพอเงินหร่อยหรอ เหลือน้อย จะเริ่มต้นทำงาน ต้นทุนค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นทันที คราวนี้ก็มานั่งเสียดายว่า ถ้าหากมีทุนคงได้ทำโน่น นี่ นั่น เพื่อให้มีรายได้เข้ามาอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับการทำงาน ต้นทุนของทุกๆคนมีเท่ากัน คือเวลา เวลาเป็นสิ่งที่ทุกคนได้รับสิทธิโดยชอบธรรมจากธรรมชาติ จากโลกใบกลมๆใบนี้ ที่หยิบยื่นให้ทุกๆคนไปเลือกจัดสรรเอาเองว่า จะทำอะไรก่อน หลังตามการจัดลำดับที่ตัวเรากำหนดขึ้นมา

การทำงานในฐานะผู้บริหารหน่วยใหม่ ยังคงมีเรื่องราวมากมายที่ต้องเรียนรู้ การร่วมกิจกรรม การทำงานดูแลลูกค้าเก่า การสร้างฐานตลาดลูกค้าใหม่ การสอนทีมงานให้เข้าใจในเนื้อหาของงานประกันชีวิต งานที่พวกเขายังไม่รับรู้ว่าจะทำได้หรือไม่ และจะทำได้อย่างไร ทุกอย่างเป็นงานที่ท้าทายความสามารถของคนๆหนึ่งที่ใฝ่หาความสำเร็จ หน่วยชุมทอง 24 ยูพีมีแนวทางการทำงานที่ไม่แตกต่างจากหน่วยอื่นๆในสำโรง พวกเรามีกิจกรรมร่วมกันเสมอๆ ตั้งแต่กิจกรรมฟูลไทม์ทุกวันจันทร์ กิจกรรมสโมสรบ่ายวันเสาร์ ที่พวกเราจะได้พบกันทั้งตัวแทนพาร์ทไทม์ และตัวแทนฟูลไทม์ แถมด้วยวันอาทิตย์ของแต่ละเดือนมีกิจกรรมการขายอาชีพให้กับตัวแทนใหม่เดือนละครั้ง มีการประชุมส่วนกลางของบริษัทเอไอเอ ทุกเดือนพวกเราจะพบกับตัวแทนจากทุกแห่งทุกที่ ใกล้ไกลกรุงเทพฯ มาจากทั่วสารทิศเพื่อเข้ารับฟังวิชาการดีๆจากสโมสรไลก้า

ทุกการประชุมพวกเราพาทีมงานมาเรียนรู้เพื่อรับฟังแนวทางการทำงาน แนวความคิด วิชาการความรู้ใหม่ด้านสินค้า สวัสดิการเพิ่มเติมที่บริษัทจัดทำให้ตามความต้องการของตลาด นอกจากการหาความรู้ให้กับตนเองพร้อมด้วยทีมงานขายตามช่วงเวลาประชุมในแต่ละโอกาส ในฐานะผู้บริหารหน่วย จะต้องใช้ทักษะของตนเองเรียนรู้ว่าทีมงานของตนต้องการอะไร มีระดับความสามารถในการรับรู้เท่าใด พร้อมที่จะเติมเต็มส่วนที่ขาด หรือสร้างเสริมความเข้าใจให้แต่ละคนได้เข้าใจในกระบวนการต่างๆ และสามารถออกไปพบผู้มุ่งหวัง คนแล้ว คนเล่า มีการเก็บข้อมูล สถิติการทำงานของแต่ละคน เพื่อทำการวิเคราะห์ความสามารถว่ามีมากน้อยแค่ไหน พร้อมเฝ้าฝึกฝนให้แต่ละคนได้มีทักษะมากขึ้น จึงทำให้งานบริหารหน่วย นอกจากจะต้องดูแลบริหารงานขายอย่างต่อเนื่อง และใส่ใจตลอดเวลา ยังต้องดูแลลูกค้าเก่าที่มีการขายไว้ตั้งแต่เริ่มต้นจากการเป็นตัวแทนในปีแรกๆ ลูกค้าที่พบเจอในตลาด ขอรับบริการเพิ่มเติม การทำงานสร้างฐานตลาดใหม่ เพื่อสร้างผลงานให้เกิดขึ้นตามที่บริษัทกำหนดไว้ในการเป็นผู้บริหารแต่ละระดับ อีกทั้งมีการจัดแบ่งเวลาในการอุทิศตนเองให้กับสังคม โดยเป็นคณะกรรมการทำงานให้กับสโมสรต่างๆ ภายในสำนักงาน ในเครือชุมทอง 24 และกลุ่มต่างๆ ที่มีขึ้นในสังกัด เวลาที่จัดสรรแต่ละส่วน เกิดประโยชน์อย่างคุ้มค่า เหมาะสมกับการใช้ชีวิตอย่างเต็มรูปแบบ

หนึ่งปีแห่งความสำเร็จผ่านไปอย่างภาคภูมิใจ นักบริหารมือใหม่ย่อมชื่นชมกับสิ่งที่ตนเองทำได้ แต่ไม่ยอมชะล่าใจที่จะต่อสู้ในปีบัญชีใหม่ การขายประกันชีวิตทำให้ผมได้มีโอกาสพบผู้คนจากหลากหลายอาชีพ ความแตกต่างด้านฐานะ ด้านความคิด ด้านแนวทางการปฏิบัติ “ทาง…เริ่มต้นจากที่ที่ไม่มีทาง” จากลูกค้าคนที่หนึ่งไปสู่ลูกค้าคนที่สอง คนที่สาม คนที่สี่ นอกจากการขายประกันชีวิตให้กับลูกค้า บางท่านให้ความชื่นชมในงานของการเป็นตัวแทน จึงมีการชักชวนลูกค้าเข้ามาเรียนรู้ เพื่อการส่งมอบสวัสดิการที่ดีและมีประโยชน์ให้กับบุคคลรอบข้าง เช่นญาติพี่น้อง เพื่อนที่ทำงาน เพื่อนที่เคยศึกษาร่วมกันมา รวมทั้งคนรู้จักของพวกเขา ดังนั้นในสิ่งเหล่านี้ ทำให้ผมได้เรียนรู้สถิติของการทำงาน ด้านการขาย สถิติที่เป็นมาตรฐานสากล นำมาเป็นหลักในการใช้เป็นตัวอย่าง 10:1 ยังนำมาใช้ได้กับการชักชวนคนเข้าสู่อาชีพ สถิติ 10:1 แม้จะเป็นแนวทางให้เราได้เรียนรู้ และมุ่งมั่นที่จะพัฒนาสถิติให้ดีขึ้น โดยผ่านการฝึกฝน การปฏิบัติครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้เราได้ค้นพบว่า “ถ้าสถิติของคุณมีมากพอ ความสำเร็จของคุณก็จะมีมากขึ้น” เป็นเรื่องที่น่าเสียดายสำหรับบางคนที่กำลังทำงานในช่วงเริ่มต้น เพียงเจอคนปฏิเสธ สองสามราย หรือแค่สิบกว่าราย ก็บอกกับตนเองว่า “เราคงไม่เหมาะกับงานนี้ เพราะพบคนตั้งหลายคนแล้ว ยังไม่มีใครตอบรับเลย” เขาไม่รู้ว่า คนที่เขากำลังจะไปพบอีกคน หรือสองคนข้างหน้า กำลังรอซื้อประกันชีวิตจากตัวแทนอยู่ หรือหากตัวแทนฝึกฝนคำพูดดีๆ แนวทางปฏิบัติดีๆ เขาก็จะได้ลูกค้าอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้น องค์ประกอบของการเป็นตัวแทนมืออาชีพที่เป็นหลักง่ายๆ สำหรับการทำงาน มี 4 ข้อที่เป็นปัจจัยพื้นฐาน ดังนี้

K A S H K – Knowledge (ความรู้) ความรู้ในสินค้าที่เราต้องนำเสนอ ต้องมีความเข้าใจในแบบประกันที่มีความเหมาะสมกับผู้มุ่งหวัง ถ้าคนมีครอบครัว การนำเสนอด้านความคุ้มครองย่อมเกิดประโยชน์สูงสุด ส่วนคนเป็นโสด การนำเสนอแผนการออมย่อมสร้างเงินเก็บยามเกษียณให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง และในแต่ละแบบประกัน ต้องเรียนรู้มูลค่ากรมธรรม์ เช่นมูลค่าเวนคืนเงินสด มูลค่าใช้เงินสำเร็จ มูลค่าขยายเวลา ซึ่งมูลค่าเหล่านี้ทำให้ลูกค้าเข้าใจได้ว่า การส่งเบี้ยประกันถ้าส่งได้ไม่ครบตามข้อกำหนดสัญญา มูลค่าต่างๆ สามารถแปลงผลตอบแทนคืนกลับให้กับลูกค้าได้ ทำให้สบายใจได้ว่า เงินที่ส่งไปไม่สูญเปล่า การค้นหาความรู้ยังมีหลากหลายที่ต้องทำความเข้าใจ ทั้งด้านผลประโยชน์ของสัญญาเพิ่มเติม งานบริการด้านการดูแลหลังการขาย ฯลฯ

A – Attitude (ทัศนคติ) ธรรมชาติของงานนี้ เป็นงานที่ต้องพบกับคำปฏิเสธ ไม่มีใครในโลกใบนี้ ที่แต่ละวันนั่งเฝ้ารอว่า เมื่อไรหนอ จะมีคนขายประกันชีวิตเดินผ่านมาแถวนี้บ้าง เผื่อจะได้ซื้อทุนการศึกษาให้กับลูกสักหนึ่งฉบับ หรือทำประกันชีวิตให้กับตนเองเพื่อให้ครอบครัวมีหลักทรัพย์ไว้ใช้ยามที่เราต้องจากไป งานนี้เป็นงานที่ต้องพบผู้มุ่งหวัง เปิดการสนทนาว่าเราเป็นตัวแทนประกันชีวิต คำแรกๆที่เราจะได้ยินก็คือ ไม่ชอบ ไม่อยากทำ ไม่สนใจ ไม่เชื่อ ไม่มีเงิน ไม่อยากคุยด้วย ดังนั้นสถิติที่กล่าวว่า สิบต่อหนึ่ง จึงเป็นแนวคิดให้ตัวแทนมีกำลังใจในการทำหน้าที่ของการเป็นตัวแทน ถ้าทุกคนรู้ว่าทำไมต้องทำประกันชีวิต เชื่อว่าทุกคนก็จะเปิดใจรับฟังโครงการดีๆจากตัวแทนอย่างแน่นอน

S – Skill (ทักษะ) การเริ่มงานการเป็นตัวแทน เป็นงานใหม่ของทุกๆคนอย่างไม่ต้องสงสัย แม้เขาหรือเธอผู้นั้น จะเก่งกาจสามารถในอาชีพของตนเองระดับไหน เมื่อมาเริ่มต้นฝึกฝนเป็นมือใหม่หัดขาย ก็ต้องทำถูกบ้าง ผิดบ้าง ผิดซ้ำๆ ผิดบ่อยๆ เป็นเรื่องปกติ หากมีการฝึกฝนบทการขาย ต้ังแต่เริ่มต้นโทรนัดหมาย เริ่มต้นเข้าสู่กระบวนการขาย เสนอแบบ และสรุปปิดการขาย ต้องผ่านการฝึกฝนครั้งแล้วครั้งเล่า หลายต่อหลายคนมักมีความอายที่จะแสดงออกต่อหน้าผู้คนอื่นๆ ในสังคมบ้านเราจะค้นพบเรื่องแบบนี้ในหลายต่อหลายสถานการณ์ เช่นนักเรียนไม่กล้ายกมือถามคุณครู นักศึกษาไม่กล้าตอบคำถามอาจารย์ อาจเกรงว่าจะเก่งเกินหน้าเพื่อน หรือกลัวตอบผิด ในการสัมนา ผู้เข้าร่วมประชุมมักเป็นผู้ฟัง เมื่อมีข้อสงสัยไม่กล้ายกมือขออนุญาตสอบถาม จะเฝ้ารอตอนจบการบรรยาย และก็รีบต่อคิวมารอถามวิทยากร ด้วยความเคยชินในหลายๆสถานการณ์เหล่านี้ คนที่ถูกชักชวนมาเป็นตัวแทน หากมีอายุ หรือสถานะทางสังคมที่มีระดับก็จะไม่ยอมเป็นผู้ทำการฝึก และขอเลือกเป็นผู้ดู โดยตั้งใจที่จะจดจำ เมื่อถึงคราวไปปฏิบัติจริงต่อหน้าผู้มุ่งหวัง มักจะตกม้าตายเอาง่ายๆ

H – Habit (นิสัย) การสร้างนิสัยแต่ละอย่าง ล้วนเกิดจากความมีระเบียบวินัยของแต่ละคนที่จะเลือกใช้ควบคุมตนเอง หรือละเลย เริ่มจากการสร้างนิสัยการเรียนรู้จากห้องประชุมสำหรับตัวแทนมืออาชีพ จะต้องเข้าเรียนรู้จากสโมสรฟูลไทม์ เปรียบเสมือนเข้าโรงเรียนประจำ หนึ่งความรู้ หนึ่งความคิด ที่ได้รับไปในแต่ละครั้ง ก็จะนำไปปฏิบัติใช้ นั่นหมายถึงการสร้างนิสัยการพบคนอย่างต่อเนื่อง จริงจัง ดังผู้ที่ทำหน้าที่เป็นครู อาจารย์ ต้องเข้าห้องเรียนเพื่อทำการสอนตามกำหนดเวลา นายแพทย์ต้องทำหน้าที่เข้าห้องผ่าตัดเพื่อช่วยเหลือชีวิตของผู้ป่วย การเป็นตัวแทนมืออาชีพต้องพร้อมเข้าพบผู้มุ่งหวัง เพื่อทำหน้าที่อธิบายถึงผลประโยชน์ของโครงการประกันชีวิตให้เข้าใจ และตอบข้อสงสัย หน้าที่ของการพบคนควรกำหนดขั้นต่ำ 3-5 คนต่อวัน โดยไม่ต้องกำหนดผลลัพธ์ที่จะขายได้หรือไม่ เมื่อได้ทำหน้าที่อย่างต่อเนื่อง สถิติก็จะทำหน้าที่ พัฒนาการของแต่ละคน แต่ละช่วงเวลาก็จะเริ่มมีประสิทธิภาพมากขึ้นเป็นลำดับ

ความพยายายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น ยังคงใช้ได้เสมอสำหรับความมุ่งมั่นของบุคคลที่ตั้งใจ การสร้างคน สร้างงานอย่างต่อเนื่องเป็นหน้าที่ที่ต้องคำนึงถึงทุกเวลาในขณะที่ลมหายใจของเรายังทำหน้าที่อย่างสม่ำเสมอ แนวทางใหม่จากแหล่งความรู้ที่ได้รับจากสโมสรไลก้าทำให้พวกเราเข้าใจวิถีทางการทำงานที่มากขึ้น มากขึ้น และวันเวลาได้ผ่านไป ในฐานะตัวเราเมื่อเป็นผู้รับ ย่อมถึงเวลาต้องเรียนรู้ที่จะเป็นผู้ให้ ผมได้มีโอกาสเข้าไปเป็นกรรมการฝ่ายพิธีกรสโมสรไลก้าในปี 2538 ด้วยจิตใจของผู้บริหารหนุ่มไฟแรง ณ สโมสรไลก้าแห่งนี้เป็นแหล่งที่ได้รวบรวมคนเก่ง คนดี ผู้ที่เป็นสุดยอดฝีมือจากหลายหน่วย หลายทีม หลายสำนักงาน ทุกคนที่เข้ามาทำหน้าที่ ล้วนแล้วแต่เป็นผู้เสียสละ เป็นผู้อุทิศตนให้กับส่วนรวมอย่างแท้จริง ทุกครั้งที่มีการจัดเตรียมวิชาการให้กับพลังตัวแทนจากทั่วประเทศ คุณมนตรี แสงอุไรพร ประธานสโมสรไลก้า ได้นำความรู้ใหม่ๆ แนวคิดดีๆ มาฝากคณะกรรมการในการประชุมเสมอๆ บางคราวเราได้ฟังเรื่องราวประสบการณ์ในการทำงาน การขาย การชวนคน การสอนตัวแทน การดูแลทีมงานจากเพื่อนคณะกรรมการที่พร้อมแชร์ให้กันอย่างจริงใจ พวกเราก้าวเดินไปข้างหน้าในแต่ละวัน ด้วยความตระหนักรู้ถึงคุณค่าของเวลา การบริหารจัดการทุกทุกนาทีให้มีความหมาย จน ณ วันปิดบัญชีการทำงานในปีต่อมา วันที่ 1 ธันวาคม 2539 ผมได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้จัดการหน่วยชุมทอง 24 ยูพี ความรู้สึกของผู้ที่ได้รับการเลื่อนตำแหน่ง ทำให้ผมมองย้อนกลับไปถึงผู้มีพระคุณทุกท่านที่ได้สร้างโอกาสให้ผมเติบโต ผมได้จัดทำหนังสือขอบคุณไปยังลูกค้า ผู้ถือกรมธรรม์ และผู้แนะนำต่างๆ ที่ทำให้ผมได้รับสิ่งที่ดีอีกมากมาย

ต้องบอกครับว่า เส้นทางชีวิตที่คิดจะเดินไปข้างหน้า ไม่ได้สวยงามด้วยดอกไม้ที่หลากสี ไม่ได้มีพรมปูรองให้เดินไปบนความอ่อนนุ่ม ไม่มีพุ่มไม้ให้ร่มเงาอย่างสม่ำเสมอ ดังคำกล่าวที่ว่า ทะเลจะงามก็ยามมีคลื่น ชีวิตจะราบรื่นก็ต้องมีอุปสรรค ในความสำเร็จที่เกิดขึ้นย่อมเป็นเครื่องชี้แสดงให้ได้เห็นว่า คุณเป็นคนมีความพยายาม คุณเป็นคนมีความอดทน คุณเป็นคนที่พร้อมจะฝ่าฟัน อุปสรรคที่เกิดขึ้นแต่ละครั้ง เป็นเครื่องมือชิ้นเล็กๆที่เข้ามาทดสอบภูมิปัญญาของคุณว่า มีทักษะในการแก้ไขอย่างไร? เมื่อผมได้พบความสำเร็จในระดับผู้จัดการหน่วย ฝันที่ใหญ่กว่านั้นก็เริ่มเข้ามาอยู่ในมโนจิต ตำแหน่งพี่ภาคที่เป็นพระเอกละครในยุคหนึ่งที่ทำให้สาวๆหลงไหล และกล่าวถึง ก็เป็นพี่ภาคที่ผมปรารถนาจะได้มาครอบครอง นั่นคือตำแหน่งผู้จัดการภาค แต่สัจธรรมของการเกิดขึ้น เติบโต รุ่งเรือง ถดถอย ก็เป็นวัฎจักรที่เป็นจริงเสมอๆ ไม่ว่าจะในชีวิตจริง ที่มีการเกิด แก่ เจ็บ ตาย และเวียนว่ายมาเกิดใหม่ แก่และเจ็บกันครั้งแล้วครั้งเล่า แม้ว่าสภาวะจิตของผมจะเข้มแข็งปานใด หัวใจของผมไม่เคยหยุดนิ่งที่จะต่อสู้และบุกไปข้างหน้า ด้วยความคุ้นชินกับวลีที่ติดอยู่ในหัวใจ ตามที่คุณพ่อเสนาะ พิศนุภูมิ เขียนไว้ในหลายๆแห่งว่า “ชีวิตคือการต่อสู้” ทุกเสี้ยววินาทีของผมมีแต่งาน งาน งาน แล้วก็งาน การขยายงานบริการ งานแสวงหาลูกค้าใหม่ๆ การชักชวนคนแบบไม่หยุดนิ่ง การพร่ำสอน พร้อมนำเป็นตัวอย่าง ทุกวิถีทาง “กระหายความสำเร็จ เฉกเช่นกระหายอากาศหายใจ” แต่ความเหนื่อยล้า ความผิดพลาดก็เกิดขึ้นได้ ตัวเลขของเราเริ่มลดน้อยลงกว่าเท่าที่ควรจะเป็น ในปี 2540 ผมยังคงเข้ามารับใช้สโมสรไลก้าเป็นปีที่คุณชาญชัย หวังว่องวิทย์เป็นประธานสโมสรไลก้า และผมเข้ามาทำหน้าที่ในตำแหน่งพิธีกร ความรู้จากวิทยากรหลั่งไหลเข้ามาสู่สมอง วิธีการมากมายเข้ามามากล้นจนรู้สึกดีไปหมด ภารกิจและความรับผิดชอบแทบจะทำให้นับเวลาการพักผ่อนได้ ฐานะความเป็นอยู่ที่พวกเรามีความต้องการเพิ่มขึ้น ลูกทั้งสามคนกำลังเรียนหนังสือ ในขณะที่รายได้ของเราปรับลดลงไปตามโควต้าที่เราสามารถทำได้ สังคมต้องให้ความร่วมมือ หน้าที่ทางสังคมเมื่อรับหน้าที่มาแล้วต้องทำให้ได้ และทำให้ดี หน้าที่ของหัวหน้าครอบครัว ต้องทำให้ดี และต้องทำให้ได้ ใครจะมารับหน้าที่แทน เมื่อเราเป็นผู้สร้างครอบครัว ต้องใช้ชีวิตเป็นเดิมพันในการทำทุกอย่างให้สมดุล เมื่อใกล้ปลายปีบัญชี จดหมายเตือนสัญญาการเป็นผู้บริหารหน่วยให้รักษาผลงานขั้นต่ำของโควต้าก็มาถึงมือผมจนได้ เมื่อเปิดอ่านนาทีแรกๆ แปลกใจอย่างมาก ด้วยความรู้สึกที่ว่า ตัวเราได้เสียสละความสุขส่วนตัวเพื่อมารับใช้ส่วนรวม ทำเพื่อสังคม ทำเพื่ออุดมการณ์ ทำไม? ถ้าเราไม่สามารถรักษาโควต้าได้ มีผลปรับลดตำแหน่งลงมาเช่นนั้นหรือ? และแล้วทัศนคติที่ไม่ดีต่อสิ่งที่กระทบก็เกิดขึ้น รู้สึกขัดตา และขัดใจเป็นอย่างแรง แต่โชคดีที่ผมยังมีต้นน้ำที่ยังอยู่ใกล้ชิด จึงเข้าพบและแสดงจดหมายเตือนให้ดู พร้อมบอกเล่าความขัดเคืองที่เกิดขึ้นในใจให้ท่านทราบ …. ด้วยความเป็นผู้ใหญ่ในวงการ ผ่านร้อนหนาวมากมาย ท่านพิจารณาชั่วระยะเวลาหนึ่งจึงกล่าวให้เราเข้าใจในหลักการ และย้ำว่า “หากตัวเรา คิดจะรับทำสิ่งใดให้กับสังคม อย่าลืมเผื่อกำลังไว้ทำเรื่องของเราให้ผ่านส่วนที่ต้องรับผิดชอบไปให้ได้ เวลายังมี สู้ต่อนะ” ผมต้องตั้งจิตทบทวน และเรียนรู้กับเรื่องเหล่านี้ และเริ่มยอมรับกับตนเองว่า “เราต้องเรียนรู้การบริหารเวลา บริหารทุกสิ่งทุกอย่างให้มากกว่านี้ สิ่งใดสำคัญกว่า ต้องทำก่อน” สิ่งสำคัญของงานขายประกันชีวิตคือโควต้า เราจะต้องจัดการโควต้าของเราให้เรียบร้อยโดยเร็วที่สุด เท่าที่จะทำได้ ใช่แล้วครับ ยังมีเวลา นับได้ก็หลายสิบวัน ที่สำคัญเรายังเป็นคนมีความสามารถ เราเคยทำทุกอย่างได้ในอดีต เราย่อมทำได้ในปัจจุบัน และเราจะต้องทำได้ดีกว่าในอนาคต โลกใบนี้ ถ้าเราคิดจะสร้างอะไรก็ตาม เราต้องทำได้ซินะ เคยได้ยินคำกล่าวภาษาอังกฤษมาประโยคหนึ่ง รู้สึกชอบมาก ” The looser never learn to the winner, The winner never learn to the looser” ผู้แพ้ไม่เคยเรียนรู้ที่จะชนะ และผู้ชนะไม่เคยเรียนรู้ที่จะแพ้ ตัวของผมเองเกิดมาเพื่อที่จะเป็นผู้ชนะ คุณพ่อเล่าให้ฟังตอนหนึ่งว่า วันที่ผมจะเกิด คุณพ่อมีเรื่องที่ต้องไปศาล เกี่ยวกับเรื่องใดไม่ทราบได้ วันนั้นคุณพ่อกลับมาพร้อมด้วยชัยชนะ และเป็นวันที่ผมเกิดพอดี คุณพ่อจึงตั้งชื่อให้ว่า พิชิต คุณพ่อยังมีโคลงบทหนึ่งที่เขียนว่า พิชิต พ่อสฤษดิ์ให้ นามวงศ์ พิศ ไปเทียบเท่าคง พจน์พ้อง นุ นาม”พิษณุ” ถิ่นเกิด พ่อแฮ ภูมิ พจน์ปรากฎก้อง เกริกด้วย กวีวรณ์

เมื่อสถานะการณ์ที่ผมต้องออกรบ เพื่อชัยชนะของโควต้า ผมก็ไม่รีรอที่จะรวบรวมทีมงานที่มีอยู่พร้อมด้วยเลขาคู่ใจออกพบลูกค้าเก่า ลูกค้าแนะนำ ผู้ที่ไม่น่าจะเป็นลูกค้าได้ แต่ควรที่จะเข้าพบ เพื่อความหวังแห่งการสร้างตัวเลข ถูกขุดค้นนำรายชื่อมาวางต่อหน้า และเข้าพบเพื่อการนำเสนอ บางรายก็สมหวัง บางรายก็ผิดหวัง แต่บางรายก็ผิดคาด ที่คิดไว้แต่แรกว่าน่าจะปฏิเสธ กลับตาลปัตรเป็นเห็นชอบตอบรับ พร้อมสร้างงานชิ้นใหญ่กว่าที่คิด “เมื่อลอยคออยู่กลางทะเลกว้าง ฟางลอยหลุดมาสักเส้นหนึ่งก็ต้องคว้าไว้” บทประพันธ์ของท่านหนึ่งที่ผมได้อ่านผ่านตามาในอดีต ผุดขึ้นมาในความคิด ชีวิตของคนเราก็ไม่ต่างกัน ในวันนี้ เราเดินทางมาไกลเหลือเกินแล้ว เราจะย้อนกลับไปทำงานอย่างเดิมคงไม่ได้แน่ เพื่อนฝูงคงได้หัวเราะใส่ก็คราวนี้ว่า เราเอาตัวไม่รอด มีแต่หนทางเดียวคือต้องบุกไปข้างหน้า ต้องฝ่าฟันจนกว่าจะเห็นเส้นทางที่สดใสให้จงได้ และแล้วความพยายามดิ้นรนก็ส่งผลให้ปีบัญชีนั้นเราสร้างผลงานได้มากกว่า 80% ของโควต้า บทเรียนครั้งนี้ทำให้เราตระหนักมากขึ้นไปกว่าเดิมว่า ชีวิตจงเรียนรู้ และจงอย่าชะล่าใจ จงอย่าประมาทที่จะใช้เวลาทุกช่วงจังหวะ สร้างความมั่นคงให้เกิดขึ้นในการทำงาน ขอบคุณปัญหา ขอบคุณอุปสรรค ขอบคุณสัจธรรม ณ วันนี้ ผมยังไม่ยอมให้การเกิดขึ้น เติบโต เสื่อมถอย และการดับไป เกิดขึ้นในชีวิตของผม หากจะตั้งใจใช้ความพยายามเรียนรู้ในช่วงจังหวะเสื่อมถอยเป็นบทเรียน ผลักดันให้มีวัฎจักรการเกิดขึ้นใหม่ การเติบโตของกิจการ และมีพัฒนาการ การเติบโตที่มากขึ้นไปกว่าเดิมอย่างไม่มีที่สิ้นสุด พี่น้องที่รักทุกท่านครับ การขุดส้วมยามปวดท้อง เป็นการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าไปคราวๆหนึ่งเท่านั้นเอง ปีบัญชี 2540 ผ่านไปบนความทุ่มเทให้รอดพ้นวิกฤติ แต่ความเป็นมาตรฐานของทีมงานของเรายังไม่ได้ตามเกณฑ์ และปีนี้ก็เป็นปีที่เราต้องเปิดหูเปิดตามองหาโอกาสทุกๆช่องทาง วิทยากรระดับประเทศ เปิดหลักสูตรการขายรายใหญ่ ทำไมเราทำไม่ได้เช่นเขา มีบางคนเข้าไปเรียนรู้ นำไปใช้ได้ผลในระดับที่น่าพอใจ แต่ขอบเขตการรับรู้ของตัวผมมีขีดจำกัด ปี 2541 จึงเป็นปีที่ผมต้องตีกรรเชียงการทำงานแบบเตาะแตะ แต่ไม่ย่ำแย่ และใช้ชีวิตเรียนรู้สภาพแวดล้อมของเพื่อนร่วมงานในสำนักงานเดียวกันอย่างพินิจพิจารณา

ตอนที่ 7 ทุกอย่างต้องเป็นไป

บางคนมองหาคนรอบข้าง บางคนมองออกไปไกลกว่านั้น โดยเลือกบุคคลที่เป็นต้นแบบไว้สำหรับการดำเนินชีวิต ผมโชคดีอย่างมาก มีคุณพ่อเสนาะ พิศนุภูมิ ผู้เป็นบิดาให้ชีวิตผมได้เกิดขึ้นมาบนโลกใบนี้ และเป็นบุคคลต้นแบบที่ผมเคารพรักเทิดทูนเหนือสิ่งอื่นใด คำสั่งสอนของท่าน คือสิ่งที่ผมยึดถือปฏิบัติ มีเรื่องราวมากมายที่ผมจะต้องทำ และสร้างไว้ สานต่อเจตนารมย์ของท่าน จนกว่าชีวิตของผมจะละจากโลกใบนี้ไปเช่นกัน

“ชีวิตคือการต่อสู้” ผมจำได้ว่า พ่อชอบพูดคำนี้ เขียนไว้บนหนังสือบ้าง หลังภาพบ้าง ผมรับรู้เรื่องราวการต่อสู้หลายช่วงชีวิต ผมปรารถนาที่จะเป็นนักต่อสู้ ผมรักเคารพและเทิดทูนการทำงานของพ่อ ผมจดจำวิถีทางต่างๆ ที่พ่อได้เดินทางผ่านมา ชีวิตของผมเป็นเพียงนักเดินทางตัวเล็กๆคนหนึ่ง ที่กำลังแสวงหาการเดินทางของตนเอง ผมไม่รู้หรอกว่า อีกสามปีห้าปีผมจะได้เป็นอะไร ผมจะไปได้ไกลแค่ไหน รู้แต่เพียงว่าวันวานที่ผ่านมา มีเรื่องใดถูกต้อง ทำให้คนรอบข้างชื่นชมและมีความสุข มีเรื่องบางอย่างผิดพลาดที่ทำให้ใครบางคนผิดหวังในตัวเรา จริงซินะ ผมเองเคยเป็นเด็กเรียนดี เก่งระดับไหนหรือครับ ผมจำได้อย่างดีเพราะผมเป็นเด็กเรียนเก่ง สอบได้ที่หนึ่งมาโดยตลอด ตั้งแต่ชั้น ป.1 ถึง ป.7 เคยได้รับรางวัลจากผู้ว่าราชการจังหวัดชัยนาทเมื่อตอนอยู่ ป.4 เพราะสอบได้คะแนนถึง 99% พอขึ้นชั้นมัธยม ผลการสอบได้อันดับ 8 ก็เริ่มอ้างว่าตนเองเป็นเด็กชนบท จะไปสู้กับเด็กตลาดได้อย่างไรกัน ครั้นพอได้ขึ้นชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 2 ได้ลำดับที่ 22 เพราะเริ่มเป็นหนุ่ม ติดเพื่อน ติดเล่น เมื่อได้เลื่อนขึ้นชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ปลายปีผลประกาศออกมา ผมสอบตกกับเพื่อนสองคน จำไม่ได้ว่ามีเพื่อนในชั้นเรียนกี่คน แต่จำได้ว่าอายมาก เสียใจอย่างมาก วันที่มาฟังผลสอบ เดินคอตกกลับบ้านเป็นเวลาสายมากแล้ว เจอคุณแม่ที่นั่งรออยู่ที่บ้าน โดยท่านยังไม่ยอมทานข้าวเช้า คงรอฟังข่าวจากลูกชายที่ช่วงหลังมีพฤติกรรมการเที่ยวบ่อยครั้งมากขึ้น คำแรกที่แม่ถาม “ผลสอบเป็นอย่างไรลูก?” … ช่างเป็นคำถามที่ตอบยากเย็นเสียนี่กระไร ตอบแม่ไปเบาๆว่า เกือบจะได้ครับแม่. รู้ในตอนนั้นเองว่าแม่เสียใจ น้ำตาคลอแต่คุณแม่ก็บอกลูกชายว่า “มากินข้าวกับแม่นะ”….. ครั้งนี้ผมเชื่อว่าผมก็ทำให้คุณแม่ท่านผิดหวังในตัวผมอย่างที่สุด สำหรับผมในช่วงจังหวะชีวิตตอนนั้น มีความรู้สึกอย่างเดียวว่า ผมจะกลับไปเรียนที่โรงเรียนแห่งเดิมไม่ได้อีกแล้ว เพราะผมรู้สึกอับอายเพื่อนๆ น้องๆบางคนที่ก่อนจบผมได้นำเฟรนด์ชิป สมุดบันทึกที่เขียนบอกเล่าความรู้สึกของเพื่อนๆ ตอนที่กำลังจะอำลาจากกัน เพื่อศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น หรือไปทำงาน ผมอยากไปเรียนที่แห่งใหม่ น่าจะเป็นโรงเรียนของจังหวัดชัยนาท แน่ละครับ ค่าใช้จ่ายก็ต้องเกิดขึ้นอีกอย่างมากมาย และเดี๋ยวนี้หน้าบ้านของผมมีถนนลาดยางเกิดขึ้นแล้ว ถนนที่เกิดจากฝีมือของคุณพ่อเสนาะ พิศนุภูมิ ที่ได้มีความเพียร พยายาม ขอลายเซ็นยินยอมจากเจ้าของที่ดินแต่ละแปลงให้สละพื้นที่สำหรับให้ทางราชการทำถนนสาธารณะเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อบุคคลทั่วไป จำได้ว่าพ่อต่อสู้ทุกวิถีทาง เพื่อให้ได้ถนนสายนี้ ตั้งแต่สมัยท่านจอมพลถนอม กิตติขจร จนถนนสายนี้เกิดขึ้นท่ามกลางความชื่นชมของชาวบ้านที่มีโอกาสเดินทางไปจังหวัดชัยนาทโดยรถโดยสารทางบก ไม่ต้องรอไปทางเรือเหมือนเช่นในอดีต ถนนสายนี้ได้กลายเป็นเส้นทางแห่งอนาคตของคนบ้านท่าหาด ต.ธรรมามูล อ.เมือง,อ.มโนรมย์ บ้านฮุ้ง และเส้นทางเชื่อมต่ออีกมากมาย …. ผมอยากไปเรียนในที่แห่งใหม่ ค่าใช้จ่ายต้องเกิดขึ้นมากกว่าเก่า คุณแม่ของผมท่านเป็นคนประหยัด และท่านก็มีเหตุผลที่จะต้องทำเช่นนั้น ด้วยว่าท่านมีลูกสามคน คนโตกำลังเรียนระดับชั้น ปวส.,คนน้องก็กำลังเรียน ท่านจึงไม่สนับสนุนที่จะให้ผมไปเรียนที่แห่งใหม่ เว้นเสียแต่เรียนที่เดิมท่านก็จะสนับสนุน ….ส่วนตัวผม เมื่อเกิดข้อผิดพลาดสำหรับชีวิตการเรียนในครั้งนี้ ก็เริ่มหาวิธีใหม่สำหรับการที่จะใช้ชีวิต เริ่มนึกถึงคำพูดของเพื่อนรักหลังห้อง ที่เคยร้องรำทำเพลงด้วยกัน พร้อมชักชวนว่าน่าจะไปหาประสบการณ์กับวงดนตรี สายัณห์ สัญญา หรือไม่ก็วงสัญญา พรนารายณ์ แต่จังหวะช่วงนี้ ญาติที่เคยอยู่วงดนตรีสัญญา พรนารายณ์ ยังไม่ได้กลับมาเยี่ยมบ้านเลย หาทางไปทำงานแบบนี้คงยาก อีกเส้นทางหนึ่งที่ผุดขึ้นมาคือการไปเป็นกระเป๋ารถ บขส.ต้องหาเงิน 500 บาทเป็นค่าประกันสำหรับการทำงาน สมัยนั้นเงิน 500 บาท หายากยิ่งกว่าทองคำ เพราะทองคำบาทละ 400 บาท แล้วเราจะไปหาเงินได้ที่ไหนกันล่ะ ซ้ำเรื่องแบบนี้เมื่อคุณแม่ได้ทราบข่าว กลับทำให้ท่านไม่สบายใจ ต้องไปขอร้องลุงปลิว ผู้ใหญ่ใจดีข้างบ้าน ให้ช่วยเจรจากับลูกชายว่าอย่าได้คิดผิดเพี้ยนไปกว่านี้….และแล้ว ผมก็ได้สติในการทบทวนทุกเรื่องราว ที่เข้ามากระทบจิตใจให้วูบวาบ อยากเป็นนั่น เป็นนี่ อยากไปทำงาน อยากไปแสวงหาโชคแบบไปตายเอาดาบหน้า ตัดสินใจที่จะกลับเข้าเรียนที่โรงเรียนแห่งเดิมอีกครั้งหนึ่ง พร้อมตั้งปณิธานในตนเองว่า จะเริ่มต้นเป็นคนดี คนขยัน ตั้งใจเรียน เพื่อเรียกร้องศักดิ์ศรีของเด็กเรียนดีกลับคืนมาให้จงได้ ….

เมื่อเปิดเทอม ผมเจอเพื่อนรักที่สมัครใจสอบตกในปีที่ผ่านมาอีกครั้ง คราวนี้ชั่วโมงโปรดเราเข้าเรียนปกติ ชั่วโมงที่มีวิชาที่เราไม่ชอบ เพื่อนรักของผมในช่วงเวลานั้นก็มาชวนผมเข้าป่าเหมือนในอดีตปีที่ผ่านมา ผมต้องตัดสินใจบอกกับเพื่อนไปว่า “วันนี้พิชิตขอเปลี่ยนแปลง จะขอเป็นคนดี ไม่อยากทำให้พ่อแม่ต้องเสียใจอีก ขอตั้งใจเรียนนะเพื่อน เราจะไปด้วยกันไหม ถ้าไปเราจะช่วยกัน แต่ถ้าเพื่อนไม่อยากเรียน เราขออนุญาตเป็นคนที่ตั้งใจนะเพื่อน” ….จากวันนั้นและวันต่อๆมา ผมมีความมานะในการเรียน ทำการบ้านส่งอาจารย์อย่างสม่ำเสมอ จนถูกแซวว่าลอกการบ้านจากของเดิมมาส่ง หลายคนกังขาในความรู้ที่เรามี ความสามารถที่ทำการบ้านได้ครบ และถูกต้องไม่ติดขัด จนถึงเวลาที่ต้องพิสูจน์ …ใช่แล้วครับ อาจารย์ประจำวิชา สอนวิชาพีชคณิต ได้นำนักเรียนผู้หญิงที่เก่งที่สุด กับผม มาหันหลังให้กับกระดานดำ เพื่ออาจารย์ได้เขียนโจทย์ที่เหมือนกันทั้งสองด้าน เมื่อพร้อมแล้วจึงให้หันกลับไปทำโจทย์ข้อนั้น ท่ามกลางเพื่อนร่วมชั้นเรียนที่พากันเชียร์ว่าใครจะเสร็จก่อน และถูกต้องกว่า ไม่ต้องเดาครับ งานนี้พิชิต พิศนุภูมิ ทำโจทย์ข้อนั้นได้เสร็จก่อนและถูกต้อง ทำให้ได้รับการยอมรับจากคุณครูพร้อมด้วยเพื่อน (รุ่นน้อง) ที่ได้เรียนด้วยกันในปีนั้น จากการที่ผมได้เปลี่ยนความคิด ชีวิตของผมก็เปลี่ยนทันที ปีนั้นผมกลับมาสอบได้ที่หนึ่งอีกครั้ง ผมได้มีโอกาสสร้างผลงานด้านภาษา โดยเป็นตัวแทนการอ่านบทกลอนทำนองเสนาะ โคลงโลกนิติ เป็นตัวแทนของจังหวัดชัยนาท ได้ไปแข่งขันที่จังหวัดอยุธยา ได้รับรางวัลชมเชยกลับมา เมื่อจบการศึกษาเรียบร้อยผมได้มีโอกาสสอบเข้าเป็นนักเรียนจ่าสื่อสารทหารเรือในปี 2520 เริ่มสร้างความภาคภูมิใจให้กับคุณพ่อและคุณแม่ที่ลูกชายเป็นคนดีขึ้นมาได้

ผมทุ่มเทการทำงานในฐานะการเป็นตัวแทนที่ดีคนหนึ่งมาครบสองปีเต็ม จนมีโอกาสได้เข้าสู่ปีแห่งการเป็นพรีซุป ต้องสร้างผลงาน พร้อมสร้างทีมงานควบคู่ไปด้วยกัน ผมเคยผิดพลาดมา ในครั้งแรกของการเข้ามาเป็นตัวแทนในปี 2531 การกลับเข้ามาใหม่ในครั้งนี้ เริ่มตั้งแต่ออกรหัสเมื่อ 31 มกราคม 2534 ผมมีความตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่า จะต้องสร้างความสำเร็จให้เกิดขึ้นให้ได้ มีคนหลายคนเฝ้ามองผมอยู่ ที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมด คุณพ่อและคุณแม่อันเป็นที่รักเคารพของลูก กำลังรอคอยชื่นชมกับความสำเร็จของลูก ผมทำงานอย่างหนักที่จะไปพบใครก็ได้ ทั้งที่รู้จัก และไม่รู้จัก จากการได้รับคำแนะนำ หรือไม่มีใครจะแนะนำ ผมพร้อมที่จะเผชิญได้ทุกเมื่อ ทุกนาที และทุกทุกวินาที คุณพ่อผมบอกไว้ “ชีวิตคือการต่อสู้ ศัตรูคือยากำลัง” ผมมีคุณพ่อเป็นยาชูกำลังในยามที่ผมรู้สึกท้อ

ในปี 2536 เป็นปีที่ผมมีภารกิจมากมาย การหาลูกค้าใหม่ การดูแลบริการลูกค้าเก่า การสอนตัวแทนที่เริ่มเข้ามาเรียนรู้งานประกันชีวิต ซึ่งเป็นงานใหม่ในสายตาของพวกเขาหรือเธอ เขายังไม่รู้อะไรทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็นแบบประกัน วิธีการคิดเบี้ย การเริ่มต้นการขาย การสรุปปิดการขาย ทุกอย่างเราต้องทำหน้าที่เป็นโค้ชให้กับเขา ด้วยแนวทางของคุณธารินทร์ที่บอกว่า ผู้ที่เป็นพรีซุปต้องรู้จักการดูแลเลี้ยงดูลูกของตนเองให้เป็น “โตแล้วต้องไปแตก แตกแล้วต้องไปโต” ไม่ใช่ “โตแล้วต้องไปแตก แตกแล้วต้องไปตาย..”แบบหลังนี้ไม่เอา ผมต้องสร้างทีม สร้างคน สร้างผลงาน แต่ผมก็มีห่วงมากมายเหลือเกินที่ต้องดูแล ห่วงในเรื่องของลูกที่กำลังเติบโตและเรียนหนังสือ ห่วงบุพการีที่ท่านอยู่ด้วยกันสองคนตายายในชนบท นั่นหมายถึงกิจประจำที่เคยทำ ช่วงเทศกาลปีใหม่ สงกรานต์พวกเราจะไม่ลืมประเพณีอันดีงามนี้ ยังคงปฏิบัติตนเช่นเดิมดังที่เคยยึดถือมาอย่างยาวนาน สงกรานต์ปีนี้ ได้ไปกราบเท้าขอพรคุณพ่อเสนาะ คุณแม่สวาท พิศนุภูมิ เช่นเดิม คำหนึ่งที่คุณพ่อท่านเอ่ยขึ้นว่า “พวกเราได้มารดน้ำดำหัวผู้ใหญ่แบบนี้ทุกปี ไม่รู้ว่า ปีหน้าจะได้มีโอกาสกันอีกไหม?” ผมเองรู้สึกจุกขึ้นมาที่คอหอย เพราะหันมองดูท่านทั้งสอง วัยก็ล่วงโรยไปตามลำดับ …. เมื่อผ่านช่วงเทศกาลสำคัญ งานของเราที่รออยู่ข้างหน้า ทำให้ต้องจัดลำดับงานที่มีความสำคัญกว่าต้องทำก่อน งานที่รอคอยได้ให้ทยอยทำตามลำดับ ผมยังคงเดินไปข้างหน้าอย่างสม่ำเสมอ และมั่นคง พูด คุย ลุย ขาย ชวนคน เข้าประชุมทุกๆสโมสร ทุกกิจกรรมของส่วนรวม เราพร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสีสัน แบ่งปันความรู้กับรุ่นน้องเสมอๆ

วันหนึ่งข่าวจากบ้านนอกก็มาถึง เมื่อญาติข้างบ้านได้โทร.มาบอกว่าคุณพ่อล้มลง ต้องเข้าโรงพยาบาล ผมต้องรีบขับรถกลับไปดูคุณพ่อที่เข้ารักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลจังหวัด ภาพที่ได้เห็นที่โรงพยาบาล คุณแม่นั่งเฝ้าดูคุณพ่ออยู่ด้วยความห่วงใย ผมได้อยู่เป็นเพื่อนคุณพ่อและคุณแม่ และจัดการเรื่องต่างๆที่โรงพยาบาล ด้วยการที่ผมยังคงเป็นข้าราชการบำนาญ จึงมีสิทธิ์ในการเบิกค่ารักษาพยาบาลได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ คุณหมอให้รอดูผลการรักษา ซึ่งพวกเราต้องรอคอย ทำให้ผมมีเวลาที่จะกลับเข้ากรุงเทพฯ เพื่อทำการประชุมกับทางสำนักงานตามปกติ และหลังการประชุมเดินทางกลับมาดูแลคุณพ่อที่โรงพยาบาลพร้อมได้รับกลับบ้านเพื่อพักรักษาตัวต่อไป ภาระงานที่มีอยู่เต็มทั้งสองบ่าขณะนี้ มีทั้งความห่วงหน้า พะวงหลัง ทุกอย่างพรูพรั่งมาพร้อมๆกัน การเดินทางจึงเกิดขึ้นตลอดเวลา เพียงสองสามวันต่อมา ญาติข้างบ้านก็โทร.มาบอกกับพี่ชายผมอีกว่า คุณพ่อล้มลงอีกครั้งหนึ่ง ตอนนี้ลุกไปไหนไม่ได้เลย พวกเราต้องรีบกลับมารับพ่อและเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลเอกชนที่ดีที่สุดในจังหวัด ถามว่าทำไมเราไม่พาคุณพ่อเข้าโรงพยาบาลจังหวัด ที่เป็นของรัฐ เพราะเราได้รับคำตอบว่าห้องพิเศษเต็ม ยังหาคิวว่างไม่ได้ วันเวลาเหล่านั้น พวกเราอยากให้คุณพ่อของเราหายจากการเจ็บป่วย ซึ่งในชีวิตของพวกเราไม่เคยเห็นท่านเจ็บป่วยหนักขนาดนี้ ผมเชื่อว่าผมมีเงินพอที่จะจ่ายค่ารักษาพยาบาลของคุณพ่อได้ ผมจึงเลือกที่จะเข้าโรงพยาบาลที่ดีที่สุด ซึ่งเป็นโรงพยาบาลเอกชน คุณพ่อถูกพาเข้าไปเช็คร่างกาย เช็คระบบสมอง เกรงจะได้รับความกระทบกระเทือน แต่ไม่ใช่เพียงแค่ครั้งเดียว เป็นครั้งที่สอง ที่สาม จนคุณพ่อเรียกหาผมให้ไปอยู่ใกล้ๆตลอดเวลา ผมเห็นแววตาของคุณพ่อที่เหนื่อยล้า พร้อมด้วยความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นจากสิ่งต่างๆ ผมจับมือคุณพ่อตลอดเวลา พร้อมให้กำลังใจท่าน “อย่ากังวลครับพ่อ ลูกชายคนนี้อยู่ใกล้ๆพ่อแล้วครับ”……ผมถามพยาบาลว่า ทำไมเราไม่ตรวจเช็คให้ผ่านในครั้งเดียว แสงรังสีที่กระทบสมองของคนเราจะเกิดผลข้างเคียงหรือไม่? ทำไมต้องทำซ้ำซ้อน….เหตุผลคือยังไม่มีความชัดเจนจากผลที่ได้ เจ้าหน้าที่บอกเราอย่างนั้น…. คุณสามารถเบิกค่ารักษาคืนจากรัฐใช่หรือไม่….ผมตอบว่าใช่ เขาบอกว่าไม่เป็นไร เราจะทำรายการให้คุณไปเบิกคืนจากหลวงได้นะ จนเราเกิดคำถามว่า การทำเอกสารประกอบการเบิกจ่ายแต่ละครั้งต้องทิ้งช่วงเวลาการทำเบิกไม่ใช่หรือถ้ามีการเบิกเกินงบที่กำหนดไว้ต่อครั้ง ถ้าหากคุณพ่อผมยังอยู่ เราคงทำเช่นนั้นได้ แต่ถ้าท่านเป็นอะไรไปล่ะ…เจ้าหน้าที่ไม่ตอบ…. อย่างไรก็ตาม ผมก็พร้อมที่จะจ่ายค่ารักษาพยาบาล และค่าใช้จ่ายต่างๆที่เกิดขึ้น ผมขอทำหน้าที่เป็นลูกที่ดีของท่าน ที่จะดูแลปรนนิบัติคุณพ่อของเราให้ดีที่สุด เพื่อให้ท่านเป็นปกติให้ได้….เราจ้างพยาบาลพิเศษมาเฝ้าพ่อ ตอนเรามีเหตุจำเป็นต้องไปประชุม นัดหมายลูกค้าไว้ล่วงหน้า แล้วเราก็กลับมาดูแลคุณพ่อ นอนอยู่ใกล้ๆท่าน ในแต่ละวันที่ท่านอยู่โรงพยาบาล จากวัน เป็นสัปดาห์ การรักษาไม่มีความคืบหน้าอะไรเลย ตอนเช้าคุณหมอมาเยี่ยมถามว่า เป็นไงบ้าง นอนสบายดีหรือเปล่า ปวดตรงไหน ฯลฯ อ่านผลแล้วก็สั่งพยาบาลเรื่องยาที่ต้องใช้ แล้วก็เดินจากไปเพื่อดูคนไข้ห้องอื่นๆ คุณพ่อท่านอยู่ห้องพิเศษ มีพยาบาลดูแลและพวกเราผลัดเปลี่ยนกันมาคอยดูช่วยกัน บางครั้งลูกน้องซึ่งเป็นทีมงานใหม่ของเราเดินทางมาให้กำลังใจที่โรงพยาบาล แต่คุณพ่อท่านก็พูดคุยอะไรไม่ได้อีกแล้ว เพราะถูกเจาะคอให้อาหารทางสายยาง จนเพื่อนรุ่นน้องของผมทราบข่าวจากการมาเยี่ยม แล้วติดต่อกับภรรยาที่รู้จักกับทางโรงพยาบาลในกรุงเทพฯให้ทำเรื่องย้ายการรักษามาที่โรงพยาบาลวชิระ ซึ่งคุณหมอที่รับเรื่องการย้ายมาของคนไข้รายนี้ถึงกับเอ่ยปากว่า ทำไมต้องทำการเจาะคอ แล้วยังปล่อยให้ติดเชื้อขึ้นมาอีก …

สำหรับความรู้สึกของผมต่อการรักษาจากโรคพยาบาลเอกชนที่คิดว่าดีที่สุดของจังหวัด ที่นอกจากจะมีราคาแพง และไร้ซึ่งประสิทธิภาพแล้ว แต่สถานการณ์ในขณะนั้น ไม่มีตัวเลือกให้เลือกได้มากกว่านี้ อยู่ในสภาวะจำยอม และต้องจำทน เมื่อเข้ารักษาในโรงพยาบาลวชิระ ซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่ดีของรัฐอีกโรงพยาบาลหนึ่ง ได้รับการรักษาและดูแลอย่างดี แต่ก็มาช้าไปอย่างมาก ผมยังคงทำหน้าที่เช่นเดิม อยู่ดูแลคุณพ่อที่โรงพยาบาล ช่วงคุณพ่ออยู่ในระหว่างการพักผ่อน แวะไปพบลูกค้า บริการลูกค้าเก่าที่มีเรื่องการเคลมต่างๆ หรือการเก็บเบี้ยประกันปีต่ออายุ ดูแลบริการตามเนื้องานที่เกิดขึ้น ญาติ พี่น้อง ผลัดเปลี่ยนกันมาเยี่ยมดู ให้กำลังใจ ช่วยเหลือในเรื่องที่สมควร จนคืนวันที่ 12 ผมต้องกลับจากโรงพยาบาล คุณพ่อต้องอยู่รักษาในห้องรวม (ห้องพิเศษไม่มีว่างเช่นเดิม) กลับมาพักผ่อนที่พัก โดยทุกครั้งก่อนจะกลับจะพูดคุยกับพยาบาลที่เข้าเวรเสมอๆ ว่า หากมีเรื่องฉุกเฉิน ให้ติดต่อผมได้ที่ 152 เรียก 185787 เป็นหมายเลขโฟนลิ้งค์ที่เป็นเครื่องมือสื่อสารในยุคนั้นที่ทำให้คนติดต่อกันได้แบบการสื่อสารทางเดียว เช้าวันที่ 13 ตุลาคม 2536 เวลา 05.30 น.เป็นเวลาที่ผมจดจำได้ดีและเจ็บปวดที่สุด เสียงโฟนลิ้งค์ดังขึ้น และปรากฏข้อความว่า “นายเสนาะ พิศนุภูมิ ตายแล้ว จาก ร.พ.วชิระ” ………..ผมโยนโฟนลิ้งค์ออกจากมือ ผมรับไม่ได้ ผมช๊อค ผม…….ผมทำอะไรไม่ถูก……พ่อผม…ทำไม….ทำไมท่านทิ้งผมไปตอนนี้ ผมยังไม่ได้ทำอะไรให้ท่านได้ชื่นชมกับผมเลย…..พ่อครับ….ผมรักพ่อ…….”

ผมรู้ครับว่า การสูญเสียต้องเกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นวันใดวันหนึ่ง แล้วผมจะทำยังไงดี ผมเริ่มทบทวน ผมเริ่มคิดลำดับความสำคัญก่อนหลังว่า ต้องทำอะไรบ้าง หนึ่ง วันนี้เป็นวันที่ต้องมีการประชุมสโมสรสตาร์ 24 ของเครือชุมทอง มีลูกน้องของผมคนหนึ่งได้รับถ้วยรางวัล ตามหลักปฏิบัติผมต้องไปอยู่ในงานประชุม ร่วมแสดงความยินดี พร้อมกับจับมือแสดงความชื่นชม ผมต้องไปโรงพยาบาลเพื่อจัดการรับศพของคุณพ่อกลับบ้านของเรา จังหวัดชัยนาทเพื่อประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ผมต้องไปแจ้งมรณกรรมในสำนักงานเขตพื้นที่ เพื่อลงรายการในใบมรณกรรม ผมต้องเข้าสำนักงาน เอ.ไอ.เอ.จังหวัดสมุทรปราการ เพื่อตรวจดูว่ามีบันทึกต่างๆของลูกค้าที่ส่งงานเข้าไปหรือไม่ และมีเรื่องอะไรที่สำคัญที่จะต้องรับรู้ รับปฏิบัติ เพราะเราไม่มีโทรศัพท์ใช้ เรามีแค่โฟนลิ้งค์ ที่บ้านชัยนาทเราก็ไม่มีเครื่องมือสื่อสาร …..เรื่องอะไรสำคัญบ้าง……เข้าออฟฟิศ จัดเก็บเอกสารทุกอย่างที่จำเป็น ฝากงานเลขาฯให้หาคนถ่ายรูปลูกน้องของเราที่ไปงานรับรางวัลสตาร์ 24 เด็กๆเลขาถามผมว่า “พี่ตุ๋มจะไปไหน” ผมไม่ตอบอะไรมาก บอกแค่ว่า “มีธุระ” แล้วก็รีบออกไปจากสำนักงานอย่างรวดเร็ว ได้พูดคุยกับคุณวาสนาว่า “แล้วเราจะไม่บอกใครเลยหรือนี่” ก็เพียงแต่ตอบว่า “วันนี้ทุกคนมีงานประชุม มีภารกิจที่ต้องดูแลตัวแทน อย่ารบกวนใครจะดีกว่า เพราะเราต้องรับศพคุณพ่อไปจังหวัดชัยนาท ระยะทางไกลนัก อย่าทำให้ใครมาลำบากกับเราจะดีกว่า”…..ผมมาถึงโรงพยาบาลตรงไปยังห้องนิรมัย ขอให้เจ้าหน้าที่ดูศพพ่อ กอดพ่อ จูบพ่ออีกครั้งหนึ่ง กราบแทบเท้าพ่ออีกครั้งเป็นครั้งสุดท้าย บอกกับพ่อว่า “ขอให้พ่ออยู่เป็นกำลังใจให้ลูกได้ต่อสู้กับชีวิต จนบรรลุความสำเร็จได้ดังฝันด้วยเถิด” ….รีบไปแจ้งการมรณกรรมที่สำนักงานเขต พาพ่อขึ้นรถบรรทุกศพ เดินทางขับรถยนต์นำรถของโรงพยาบาลวชิระ มุ่งหน้าสู่จังหวัดชัยนาท กว่าจะถึงบ้านท่าหาดก็ใกล้เย็นมากแล้ว ต้องผ่านบ้านก่อนไปวัดพิกุลงาม (วัดท่าหาด) จึงบอกให้รถล่วงหน้าไปก่อน แวะบอกคุณแม่สวาท

ทันทีที่คุณแม่เห็น แม่เอ่ยขึ้นมาว่า “ตาเหนาะเป็นอย่างไรบ้าง” ก็พยายามฝืนพูดกับแม่ไปว่า “แม่แต่งตัวนะครับ เดี๋ยวเราจะไปวัดท่าหาดกัน” แม่พูดอีกว่า “เมื่อกี้เห็นรถโรงพยาบาล ยังสังหรณ์ใจว่าพ่อเอ็งเป็นอะไรไปหรือเปล่า” แม่ร้องไห้ แม่เสียใจ แต่แม่ก็ต้องทำใจ เพราะรู้ดีว่ามนุษย์ทุกคนเกิดมาหนีไม่พ้นการเกิด แก่ เจ็บ ตาย พวกเราพากันมาที่วัดท่าหาด ทางวัดจัดให้คนมาดูแลตั้งศพบนศาลา การสวดพระอภิธรรมคืนแรกเกิดขึ้น และท่านผู้จัดการของผม คุณธารินทร์ นันทาภิรักษ์ พร้อมด้วยภรรยา และทีมงานในเครือชุมทอง 24 ยู ก็พากันมาแสดงความเสียใจในค่ำคืนแรก แม้ว่าผมไม่ได้เอ่ยปากบอกใครให้ทราบเลยก็ตาม นั่นเป็นกำลังใจที่แสนพิเศษ ทุกคนรู้ว่า ผมยังคงมีภารกิจที่ต้องทำอีกมากมาย เบี้ยประกันของผมในขณะนั้น ยังต้องทำเพิ่มอีกประมาณ 700,000 บาท (เจ็ดแสนบาท)

ผมอยู่ในงานศพคุณพ่อทุกวัน ทุกคืน ตลอดเวลา ผมต้อนรับแขกเหรื่อ ญาติ พี่น้อง คนรักใคร่นับถือคุณพ่อจากทุกสารทิศ ช่วงบ่าย เย็น ค่ำมืดของทุกๆคืน คือเวลาที่ต้องต้อนรับแขกเหรื่อ ยามเช้า สาย คือเวลาทบทวนงานที่ต้องรอไปทำ เช่นงานเมโมของลูกค้าที่เกิดขึ้นจากการขาย งานค้างที่รอติดตาม ผมใช้เวลาออกไปหาโทรศัพท์ โทรแจ้งสำนักงานใหญ่ที่กรุงเทพฯ บอกให้ฝ่ายพิจารณารับรู้ว่า ผมยังไม่สะดวกต่อการเข้าไปดำเนินการในรายละเอียดต่าง ๆ เพราะต้องจัดการงานศพของคุณพ่อให้แล้วเสร็จ ผมขอทำหน้าที่ของลูกที่ดีต่อบุพการีที่พึงปฏิบัติเสียก่อน เพื่อน ๆ พี่น้องในเอไอเอ พากันมาช่วยงานให้กำลังใจ และขอให้เราเข้มแข็ง พร้อมที่จะต่อสู้ เพื่อสร้างผลงานเบี้ยประกันให้ครบตามเป้าหมายที่บริษัทฯ และหน่วยงานกำหนดมาตรฐานไว้ ยามว่าง…กลางคืน ผมจะอยู่กับคุณพ่อของผม คุณพ่อเสนาะ พิศนุภูมิ ผมจะนั่งอยู่หน้าโลง มองรูปของพ่อ และเฝ้าบอกกับคุณพ่อตลอดเวลาว่า “พ่อครับ…ผมคือนักสู้…พ่อครับ ….ผมจะต้องทำให้ได้ พ่อรอดูความสำเร็จของผมนะครับ พ่อครับ…พ่ออย่าเพิ่งไปไหนนะครับ อยู่เป็นกำลังใจให้กับลูกคนนี้ก่อนนะพ่อ…….” ผมหยิบหนังสือที่พ่อเคยเขียนปรัชญาต่างๆไว้มานั่งดู มีทั้งบทกลอน โคลงโลกนิติ บทความดี ๆ ผมนั่งอ่านทบทวนดู คิดถึงครั้งเยาว์วัย พ่อเพียรสอน และสั่งให้ผมมีมานะ ตั้งใจเรียน ศึกษาหาความรู้ เพื่อหาโอกาสที่ดีกว่าที่จะพึงหาได้ในสังคม ทำให้ผมเกิดความคิดโดยเขียนกลอนไว้บทหนึ่งดังนี้

“ปรัชญาแห่งชีวิตลิขิตเขียน พ่อพากเพียรจดไว้ได้สั่งสอน แม้พ่อลับดับไปให้อาวรณ์ แต่บทกลอนกวียังมีมนต์ ลูกจักจำนำไปใช้ประโยชน์ ให้รุ่งโรจน์กับชีวิตจิตกุศล รำลึกไว้พ่ออยู่ใกล้แนบใจตน จะเป็นคนขายประกันที่ฝันไกล ฝันจะให้สิ่งที่ดีกับมวลมิตร เพราะชีวิตมีค่ากว่าสิ่งไหน เมื่อละจากพรากบ้านสู่ฐานไกล ยังทิ้งไว้หลักทรัพย์นับอนันต์ ฝันจะให้ความรู้สู่พวกพ้อง ความถูกต้องจริงใจได้สุขสันต์ ประสบความสำเร็จนับหมื่นพัน จะเป็นวันชื่นชมสมฤดี”

พวกเราพี่น้องพากันตกลงกันว่า อย่าเพิ่งได้เร่งฌาปนกิจศพคุณพ่อตอนนี้เลย ควรทำการฝังไว้ก่อนสักระยะหนึ่งจะดีกว่า เพื่อรอให้พี่น้องบางคนที่ยังไม่สะดวกในตอนนี้จะได้มีเวลาเตรียมตัว ให้ทุกอย่างพร้อมๆก่อน ซึ่งผมเองเป็นน้องชายคนหนึ่ง ท่ามกลางพี่น้องที่มีอยู่ด้วยกันทั้งหมดสิบคน มีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง เพราะเกิดความรู้สึกว่า พ่อของผมยังไม่ได้ไปไหน ท่านยังอยู่กับเรา แต่ท่านอยู่ที่วัด คิดถึงเมื่อไหร่ก็มาหาได้ทันที…..เมื่อผ่านพิธีการเก็บศพโดยการฝังไว้อย่างถูกต้องตามประเพณีแล้ว ดูแลคุณแม่ท่านให้มีกำลังแรงใจเข้มแข็งขึ้นมา แล้วจึงเดินทางกลับเข้ากรุงเทพฯ เพื่อสะสางงานที่คั่งค้าง พร้อมเข้าสู่ระบบปฏิบัติการล่าฝัน เพื่อฟันฝ่าคว้าความสำเร็จให้เป็นของตนเองให้ได้ ผมแต่งตัวไปทำงานด้วยการผูกไทด์เช่นเดิม ไม่ได้แต่งกายแบบการไว้ทุกข์ ด้วยมีเหตุผลว่า ไม่ต้องการตอบคำถามใครต่อใครว่า ทำไมแต่งตัวแบบนี้ ใครเป็นอะไรหรือ? เพราะงานที่ผมต้องทำ เป็นงานที่ต้องไปพบผู้คนมากมายในหลากหลายสถานที่ เป็นงานที่ต้องพูดคุยในเรื่องของพวกเขา ความสุขของครอบครัวเขา เพื่อให้พวกเขาบรรลุวัตถุประสงค์ในการวางแผนด้านการเงิน ด้านสวัสดิการ ด้านทุนการศึกษา หรือการสร้างพินัยกรรมเงินสดให้กับครอบครัว ผมจัดสรรเวลาอย่างรอบคอบและระมัดระวัง ท่านผู้จัดการคุณธารินทร์ นันทาภิรักษ์ เคยบอกผมเสมอๆว่า “เวลายิ่งยาวยิ่งยาก ยิ่งสั้นยิ่งง่าย”จริงซินะ…เรามีเวลาเหลืออีกเพียงไม่กี่วัน ต้องสร้างเบี้ยประกันอีกประมาณเจ็ดแสนบาท ถ้าเราทำไม่ได้ล่ะ ทำไงดี ซื้อประกันตัวเองได้ไหม….แล้วเอาเงินที่ไหนมาซื้อล่ะ…..เอาน่า….ทาง…เริ่มต้นจากที่ที่ไม่มีทาง เราก็เดินทางมาได้ไกลถึงขนาดนี้ อีกแค่นิดเดียว เราต้องทำได้ซินะ เราเชื่อว่าเราทำได้ เรามีพลังนี่นา…

ทุกท่านที่รักครับ ผมใช้ชีวิตในการพบลูกค้า รายเล็ก รายใหญ่ รายขนาดกลาง ทุกแห่งทุกที่ที่ผมไปพบ บางครั้ง บางคนก็ตอบรับและเข้าร่วมโครงการ มอบความไว้วางใจให้กับผมในทันที บางท่าน บางแห่งก็ให้ผมรอคอย และติดตามเพื่อสร้างเสริมความมั่นใจให้กับพวกเขามากขึ้น เพิ่มความกระจ่าง รอคอยความพร้อมของพวกเขา หลากหลายเหตุผล และแล้ว….ในช่วงเวลาที่สำคัญเช่นนี้กลุ่มลูกค้ากลุ่มใหญ่ของผมกลุ่มหนึ่งได้มอบความไว้วางใจให้กับผม โดยวันหนึ่งพี่จู๊ด คุณวรพงษ์ เทียนชัย ได้แจ้งว่าท่านประธานบริษัท คุณวัฒนา รอดบุญ ได้อนุมัติการทำประกันให้กับคณะกรรมการทั้งหมด ทำให้ผมได้รับเบี้ยประกันมาทั้งหมด 600,000 บาท เป็นเบี้ยประกันที่มีความหมายกับชีวิตการเป็นตัวแทนประกันชีวิตของผม ท่านประธานบริษัท คุณวัฒนา รอดบุญ (ผมขออนุญาตเอ่ยถึงท่านในที่นี้ ท่านเป็นผู้ให้โอกาสสำคัญสำหรับชีวิตการทำงานของผม ซึ่งเป็นช่วงรอยต่อของการเดินทางไปข้างหน้า) เบี้ยประกันส่วนนี้ทำให้ผมเห็นแสงสว่างบนปลายอุโมงค์ ผมรีบเร่งหาเบี้ยประกันส่วนต่างๆที่ขาดหายไป จนครบทุกบาท ทำให้ผมนึกถึงคำคำหนึ่งที่ผู้จัดการเคยบอกไว้ว่า “ทำทุกอย่างด้วยตนเองให้ดีที่สุด แล้วพระเจ้าจะทำส่วนที่เหลือ”…..ผมได้สร้างทีมงานขึ้นมา 14 ตัวแทน ผ่านการตรวจสอบคุณวุฒิของบริษัททุกรายการ ทำให้ผมได้รับสิทธิ์การเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้บริหารหน่วย ณ วันที่ 1 ธันวาคม 2536 ผมรีบกลับไปกราบศพคุณพ่อเสนาะ พิศนุภูมิ ที่วัดท่าหาด จังหวัดชัยนาท ผมต้องการมาบอกกับคุณพ่อว่า “พ่อครับ … ผมทำได้แล้ว พ่อเห็นแล้วใช่ไหมครับว่า ลูกพ่อทำได้…”

เพื่อนๆ พี่น้อง ที่รักทุกท่านครับ ถ้าหากวันนั้น วันที่ผมสอบตก แล้วผมยอมรับกับเส้นทางที่ผมบังเอิญผิดพลาดไป ไม่ยอมหวนกลับมาเรียนในสถานที่เดิม ด้วยเหตุและปัจจัยอื่นๆ ที่มีข้อกำหนด ผมคงไม่ได้มีวิถีชีวิตที่ดีขึ้นในเวลาต่อมา …และถ้าวันนั้น วันที่ผมล้มเหลวสำหรับการเป็นตัวแทนในช่วงเริ่มต้น ทำอะไรไม่เป็น เดินหาช่องทางก็ไม่ถูก มองหาโอกาสเติบโตก็ไม่ได้ ถ้าหากผมล้มเลิกความคิดในการก้าวเดินต่อบนเส้นทางของนักขายประกันชีวิต ผมจะพบความสำเร็จได้หรือ? และถ้าช่วงวิกฤติของชีวิตจากเหตุการณ์ที่เกิดความสูญเสียของบุคคลสำคัญอันเป็นสุดที่รักและเคารพของผม ถ้าผมเก็บอมความทุกข์และเศร้าโศกไว้ในจิตใจ ผมจะมีเรี่ยวแรงก้าวต่อหรือไม่? ผมจะทักทอความฝันที่ผมหวังไว้ให้เกิดเป็นความจริงขึ้นมาได้หรือ?…..ทุกชีวิต ทุกผู้คน ล้วนแล้วแต่มีความหมาย ทุกคนมีศักยภาพอยู่ในตนเองด้วยกันอย่างมากมายมหาศาล จงดึงพลังศักยภาพของท่านออกมาใช้ให้เต็มที่เถิดครับ….

ตอนที่ 6 ความทรงจำ

ตั้งแต่วันที่เริ่มต้นทำงาน ถ้าพวกเราสำรวจตัวเองในงานใหม่ จะรู้สึกเคอะเขิน ประหม่า ทำผิดทำถูก การที่จะหาคนทำทุกอย่างได้สมบูรณ์พร้อม ตั้งแต่เริ่มต้น คงมีคนจำนวนน้อยมาก หรือแทบจะไม่มี ถ้าตัวเราเอาความผิดพลาดต่างๆ มาเป็นบทเรียนสอนตนเอง และพร้อมที่จะยอมรับ ยอมปรับปรุงแก้ไข ทุกสิ่งทุกอย่างจะเกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ที่สุดแล้ว ความสมบูรณ์จึงเกิดได้ ทั้งหมดนั้นขึ้นอยู่ที่การเรียนรู้และจดจำ พร้อมนำไปใช้ และทำในสิ่งที่ถูกต้อง

ความเชื่อมั่น ศรัทธา ลงมือทำ เมื่อผมมีความเชื่อมั่นว่างานนี้เป็นงานที่ให้โอกาสกับชีวิตของผมได้ ผมไม่ลังเลที่จะเริ่มต้นเอาจริงเอาจังกับชีวิตสักที โดยเริ่มฟังโค้ชของผมทุกคำที่ท่านสั่งสอน ท่านบอกผมหลายอย่างสำหรับงานนี้ …ใช่แล้วครับ ธรรมชาติของงานนี้เป็นงานที่ต้องได้รับคำปฏิเสธจากคน คนที่ไม่ชอบประกันชีวิต…อาจจะเป็นเพราะอคติส่วนตัว หรือประสบการณ์ตรงที่เคยพบเห็น เรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านมาจากเหตุการณ์หลายๆอย่างก็ตาม ทำให้หลายคนไม่ชอบทั้งสินค้า และตัวแทน ทำให้งานนี้เป็นงานที่ต้องใช้สถิติมาเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จ อย่างน้อยสถิติที่พวกเราชอบบอกต่อๆกันมา เป็นสถิติ 10:1 ความหมายของสถิติ 10 ต่อหนึ่งไม่ได้แปลว่า ไปพบคนที่ 1,2,3,4…..คนที่ 8,9 แล้วก็คนที่ 10 จะต้องซื้อแน่ๆ แต่หมายความว่าถ้าเราพบคนจำนวน 100 คน ความน่าจะเป็นสำหรับการขายได้ มีมากถึง 10 คน หรืออาจต้องขยายจำนวนคนที่ไปพบถึง 1,000 คน มีความเป็นไปได้ที่จะทำการขายได้แน่ๆ 100 คน ชัวร์ !! …..เอาล่ะซิ..แล้วใครเล่าจะยอมอดทนเจอคนให้ครบ 1,000 คน เพื่อที่จะขายได้สัก 100 รายล่ะครับ บางคนตายจากอาชีพนี้ไปตั้งแต่คนที่สอง คนที่สามที่ไปพบซะแล้ว เพราะเจอแรงกดดันหลายรูปแบบ … “ไม่มีอะไรจะทำแล้วหรือ ถึงมาหากินแบบนี้…, เฮ้ย ! งานนี้ ขายเพื่อนเสร็จ ขายญาติเสร็จแล้วจะไปขายใคร, คนที่เขามาก่อนเอ็ง เขายังไม่สำเร็จเลย เขาเลิกขายกันไปตั้งเยอะแล้ว ,นี่ถ้ามาทำก่อนหน้านี้..มีโอกาสสำเร็จนะ แต่มาตอนนี้ช้าไปต๋อย…,คุยเรื่องอื่นดีกว่านะขอร้อง อย่ามาคุยเลยเรื่องประกัน,ทำไปทำไม ไม่เห็นจะมีประโยชน์อะไรเลย เรายังแข็งแรงอยู่นะ ฯลฯ”

ผมก็ไม่ต่างกับคนอื่นๆหรอกครับ พอเริ่มทำงานอย่างจริงจังก็ถูกแรงเสียดทานต่างๆนานา หลายรูปแบบ แต่หนังสือที่อ่านมาหลายเล่ม จากหลากหลายผู้เขียน เริ่มสร้างภูมิต้านทานให้กับผมได้รู้ว่า ธรรมชาติของคนที่จะซื้อสินค้า ไม่ว่าเป็นสินค้าอะไร พวกเขาต้องมีคำปฏิเสธซะก่อน หากมีเวลาได้รับฟังสรรพคุณ ประโยชน์ ความสำคัญ ความจำเป็นที่ต้องมี ความจำเป็นที่ต้องใช้ จะทำให้เขามีโอกาสเปลี่ยนใจมาตอบรับได้ ไม่ว่าสินค้านั้นจะเป็นอะไร นั่นหมายถึงว่าตัวแทนต้องใช้เวลาทำความเข้าใจให้ผู้มุ่งหวังมากขึ้น โค้ชของผมคุณธารินทร์ นันทาภิรักษ์ยังบอกอีกว่า ถ้าเรากำหนดค่าของงานที่ทำ โดยหนึ่งคนที่เรามีโอกาสพูดคุยด้วย มีค่าเท่ากับ 500 บาทเราอยากคุยกับคนวันละกี่คน …น่าสนใจใช่ไหมครับสำหรับคนที่เราไปคุยด้วย จะซื้อหรือไม่ซื้อก็ตาม..มีมูลค่าแห่งการพูดคุย 500 บาท ถ้าเป็นแบบนี้ผมคิดว่าใครๆก็อยากคุยด้วยซักวันละ 10 คน ทีนี้พวกเรามาทดลองเช็คเวลากันดูซิครับว่า ในความเป็นจริงพวกเรามีโอกาสพบผู้มุ่งหวังได้วันละกี่คน หากเราใช้เวลาเดินทางไปหาลูกค้าช่วงเช้า มีโอกาสพบผู้หวังได้สัก 2 คน เมื่อพักทานอาหารกลางวันแล้วค่อยไปต่อ ช่วงบ่ายได้พบผู้มุ่งหวังอีก 2 คน ตอนเย็นถึงค่ำอีกสักหนึ่งคน พวกเราก็ทำได้ประมาณ 5-6 คนต่อวัน แล้วต้องทำแบบนี้กี่วันในหนึ่งสัปดาห์ ….ทำทุกวัน ทำให้มีความสม่ำเสมอ ทำให้เป็นนิสัย ทำเหมือนกับที่เราต้องออกไปทำงานประจำแบบข้าราชการ หรืองานบริษัท และที่สำคัญงานนี้เป็นงานที่เราต้องใช้เวลา ต้องมีความอดทน รอคอยความสำเร็จ ความสำเร็จของงานนี้ไม่มีทางลัด คุณต้องเดินทีละก้าว กินข้าวทีละคำ และทำทีละอย่าง….

ผมชอบประโยคนี้ครับ “กรุงโรมไม่ได้สร้างได้ในวันเดียว” ผมยึดติดความคิดนี้อยู่ในสมองตลอดเวลา ใช่แล้วครับ กว่าจะเป็นกรุงโรมได้ ไม่มีใครที่จะเสกให้เกิดขึ้นได้ภายในวันเดียว เหมือนเช่นอาลาดินกับตะเกียงวิเศษ เอามือถูๆกับตะเกียงแล้วก็มีเจ้ายักษ์โผล่ออกมา ถามว่านายจ๋าต้องการอะไรหรือนาย หากอยากได้เมืองสวยๆ อาณาจักรงามๆ เพียงชั่วข้ามคืน เจ้ายักษ์ก็เอามาให้ได้ แบบนี้มีแต่ในนิยาย ชีวิตจริงของคนเรา กว่าจะพบกับความสำเร็จแต่ละขั้น ต้องผ่านความทุ่มเท ผ่านความอดทน ผ่านความทุกข์ ความเจ็บปวดสารพัน ถ้าคุณจะสร้างกรุงโรม คุณต้องเอาอิฐแต่ละก้อนมาวางเรียงร้อยอย่างเป็นระเบียบ และวางรูปทรงต่างๆในแบบที่กำหนด เมื่อคุณจะสร้างชีวิตของคุณขึ้นมาใหม่ เราก็ต้องมาสร้างพิมพ์เขียวของชีวิตให้ได้กันซะก่อน การที่จะสร้างพิมพ์เขียวของชีวิต ก็เหมือนกับการทำพิมพ์เขียวของการสร้างบ้าน สร้างอาคารต่างๆ รูปแบบอาคารแบบไหนที่เราชอบ โดนใจของเรา ต้องการจะเพิ่มเติมอะไรบางอย่างเข้าไป เราก็สั่งให้สถาปนิกเพิ่มเติมเข้าไปได้ ….คนที่สำเร็จในงานประกันชีวิต มีมากจนเราเลือกได้ อยากสำเร็จแบบคนนั้น อยากสำเร็จแบบคนนี้ พวกเขามีแบบอย่างของการทำงานอย่างไร พวกเขามีวิธีการทำงานของเขาแบบไหน เราทำหน้าที่ก๊อปปี้วิธีการของเขามาทำบ้าง โอกาสของเราก็มีความเป็นไปได้ เช่นเดียวกับที่พวกเขาเป็นกัน

เมื่อวันที่พวกเราไม่ได้ทำงานประจำเหมือนปกติ หลายคนคงคิดว่า สบายล่ะซิ ไม่ต้องรีบตื่นเช้าเหมือนแต่ก่อน ตื่นสายๆก็ได้ไม่ต้องกังวลว่าใครจะมาต่อว่าเราได้ … ผิดถนัดเลยครับ ก่อนหน้านี้ผมทำงานรับราชการ เป็นลูกน้องทำงานตามคำสั่ง ทำตามหน้าที่ ทุกวันมีข้อกำหนดของงานที่ให้ทำไล่เรียงไปตามลำดับ 1,2,3 พอมาถึงวันนี้ ผมพบกับความเป็นอิสระในเรื่องเวลา ไม่มีใครมาสั่งงานผมอีกต่อไป ไม่มีใครมากำหนดลำดับความสำคัญของงาน 1,2,3….ให้กับผมอีกแล้ว ทุกๆอย่างของชีวิต นับจากวันนี้ ผมเป็นคนกำหนดอนาคตของตนเอง บนเส้นทางเดินที่มีอยู่สองทางเลือก ทางเลือกที่จะ….หนึ่ง…ทางเลือกของความสำเร็จ ….สอง…ทางเลือกของความล้มเหลว โดยคุณต้องตอบตัวเองให้ได้ว่า คุณตัดสินใจลาออกมาจากการรับราชการ มาเพื่ออะไร มาเพื่อความล้มเหลวเช่นนั้นหรือ ? ถ้ามาเพื่อสิ่งนี้ ผมคิดว่าคงไม่มีใครบ้า ที่จะลาออกมาเพื่อให้ถูกผู้คนเยาะหยันแน่

ใช่แล้วครับ การลาออกมาก็เพื่อแสวงหาความสำเร็จ ไม่ใช่หรือ ถ้าใช่ คนสำเร็จเขาต้องทำงานกันอย่างไร …ฟังใครมาก็ไม่รู้ เขาบอกว่าให้ผลักตัวเองออกไปจากบ้านให้ได้ตั้งแต่เช้า ถ้าคุณไม่รู้ว่าจะไปทางไหน ไปหาใคร ขอแค่ขับรถออกไปจากบ้านก่อนก็แล้วกัน เมื่อคุณออกไปข้างนอก บรรยากาศจะทำให้คุณคิดออกว่าจะไปทางไหนดี เออ…จริงซินะ ทาง…เริ่มต้นจากที่ ที่ไม่มีทาง ผมเป็นคนหนึ่งที่ผลักตัวเองออกจากบ้านเพื่อไปพบใครก็ได้ที่ตัวเองไม่มีนัดเอาไว้ก่อน ในวันที่ช่องของช่วงเวลาวันนั้นว่าง เพราะตัวแทนใหม่ที่อ่อนต่อโลกภายนอก โลกของการทำธุรกิจ ยังไม่มีความชำนาญมากพอที่จะพลิกแพลงรูปแบบของการทำงานได้ แต่ผมก็รู้ว่าบนถนนที่ผมกำลังขับรถออกไปนี้ น่าจะผ่านถนนสายไหนได้บ้าง และถนนที่ว่านี้ น่าจะมีใครสักคน ที่เป็นคนที่ผมรู้จัก อาจจะเป็นญาติ เป็นเพื่อน หรือพี่น้องที่คุ้นเคย หรือคนที่เคยเรียนหนังสือมาด้วยกัน คนที่เคยทำงานมาในอดีต หรือคนที่เราเคยไปช่วยงานบุญ งานบวช งานแต่ง สารพัดที่จะนึกขึ้นมาได้ บางทีก็น่าจะเป็นญาติของญาติ ก็ต้องลองขับรถไปแวะหาดู อย่างน้อยการไปหาพวกเขา ก็เป็นการเปิดตัวว่าผมกำลังทำอะไร ผมมีเส้นทางชีวิตใหม่ในการทำงานที่พวกเขาจะเลือกให้ความไว้วางใจกับผมได้บ้างในงานประกันชีวิต

ผมถูกสอนให้ใช้เครื่องมือบันทึกการทำงาน เพื่อตรวจสอบความเป็นไปได้ของสถิติต่างๆ เพื่อดูพัฒนาการของตนเอง เริ่มจากการใช้ Weekly Report การทำงานประจำสัปดาห์ ที่มีลักษณะเป็นแผ่นพับเริ่มตั้งแต่วันจันทร์ ถึงวันอาทิตย์ แต่ละวันมีช่องเวลาทำงาน เริ่มตั้งแต่เช้าจรดเย็น ทำให้ผมเขียนตารางเวลาต่างๆ อย่างเป็นระบบ เช่นวันจันทร์ฟูลไทม์ เวลา 09.00-12.00 น.เมื่อผมกำหนดเวลาที่ต้องเข้าประชุมเพื่อการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ จากวิทยากร รุ่นพี่ และผู้บริหารที่ประสบความสำเร็จมาแบ่งปันความรู้ให้กับพวกเรา หากลูกค้าหรือใครจะมาขอนัดหมายกับผมในวัน เวลานี้ ผมจะไม่ยอมให้เวลาช่วงนี้กับใครทั้งนั้น ส่วนวันเวลาที่เหลือ อังคาร พุธ พฤหัสบดี ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ผมก็ใช้เวลาหลังการประชุมฟูลไทม์ เริ่มโทร.นัดหมายผู้มุ่งหวัง ได้วันใด ก็ให้กำหนดเข้าไปในช่องของวันที่นัดหมายได้ จนมีความเป็นไปได้ที่จะเริ่มทำงานในวันต่อไป แล้วก็มาตรวจสอบดูว่า ในช่วงวันเวลา ที่ว่าง ก่อนถึงเวลานัดหมายรายใด เช่น นัดลูกค้าอยู่ที่บางแคหนึ่งรายในบ่ายวันพฤหัสบดี เมื่อตรวจสอบในช่วงเวลาเช้าไม่มีนัดหมายใดๆ ที่กำหนดไว้ ผมก็มาตรวจหาผู้มุ่งหวังที่อยู่ในเขตใกล้เคียง เช่นปทุมธานี นนทบุรี แล้วก็สุ่มเสี่ยงที่จะเข้าพบ สามารถกำหนดรายชื่อใหม่ขึ้นมาได้ โดยที่ผู้มุ่งหวังที่ผมจะเข้าพบนั้น ไม่มีหมายเลขโทรศัพท์ติดต่อ หรือบอกเล่าการนัดหมายได้ คงใช้วิธีการทำงานแบบเข้าพบตามช่วงเวลาที่เหมาะสม ซึ่งควรจะมีผู้มุ่งหวังสำรองไว้สักหนึ่งหรือสองราย เผื่อว่าเมื่อตั้งใจไปพบ แล้วไม่มีใครอยู่ที่บ้านของผู้มุ่งหวังเลย จะทำให้การทำงานในวันนั้นสูญเสียไป เสียค่าใช้จ่ายไปเปล่าๆ เมื่อเราได้กลายมาเป็นเจ้าของธุรกิจแบบเจ้าของคนเดียว มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องบริหารเวลา ค่าใช้จ่ายอย่างรัดกุม และมีความเป็นไปได้ที่จะทำให้เกิดงานใหม่ขึ้นมาให้ได้ ในทางใดทางหนึ่ง ….

ทุกกิจกรรมที่เราได้ทำขึ้นมาในแต่ละวัน จะนำไปลงในรายการของแผ่นพับ Weekly Report พร้อมด้วยเครื่องมืออีกชิ้นหนึ่ง คือการ์ด 20 คะแนนต่อวัน ที่ผมต้องให้คะแนนทุกวัน สำหรับการทำงานอย่างชัดเจน การเก็บข้อมูลใบร่างสำหรับการนำเสนอขาย ใช้ทุกครั้งกับทุกๆคนที่เปิดการขาย โดยข้อมูลที่ผมได้รับจากการเข้าพบ ทั้งตอบรับและไม่ตอบรับ จะนำไปสู่ระบบการติดตาม ส่งข่าวสาร การ์ดแสดงความยินดี การ์ดวันเกิด หรือวันครบรอบการแต่งงาน รวมทั้งการ์ดแนะนำรายชื่อผู้มุ่งหวังรายใหม่ที่ผู้มุ่งหวังของผม จะส่งมอบรายชื่อเพื่อนๆ ญาติหรือบุคคลที่เขาเห็นว่าควรมีสวัสดิการดีๆที่ตัวแทนจะได้ไปนำเสนอ ทุกเครื่องมือที่พวกเราได้ใช้จดข้อมูลต่างๆ นำไปประกอบการพิจารณาดูค่าเฉลี่ยของธุรกิจที่ผมได้ทำไปแต่ละช่วงสัปดาห์ แต่ละเดือน ทำให้ผมได้ค้นพบว่า มูลค่าของการพบปะพูดคุยกับผู้มุ่งหวัง ทั้งที่มีการตอบรับและไม่ตอบรับ ขยับมูลค่าเพิ่มขึ้นจากค่าเฉลี่ย 500 บาทต่อการนั่งพูดคุยกับผู้มุ่งหวังหนึ่งคน ค่าเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น 700 บาทต่อคน และมากขึ้นตามศักยภาพการทำงานของผมที่มีการพัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลา

เมื่อผมมีความเชื่อมั่นว่าสิ่งที่ผมกำลังทำอยู่ เป็นเรื่องของความถูกต้องที่ควรค่าต่อการทุ่มเท เพราะคนทุกๆคนบนโลกใบนี้ มีความรัก ความห่วงใย ความหวงแหน ความกังวล ในเรื่องเหล่านี้…ถ้าพวกเขามีครอบครัว เขาจะต้องห่วงใยครอบครัวของเขา มีความรักให้กับทุกๆคนในครอบครัว อยากเห็นครอบครัวมีความสุข ในเรื่องความเป็นอยู่ อาหารการกิน ความสะดวกสบายต่างๆ ที่ควรจะมีความเป็นไปได้ ทั้งในวันที่หัวหน้าครอบครัว ผู้เป็นเสาหลักในการสร้างรายได้ยังมีชีวิตอยู่ หรือแม้กระทั่งวันที่หัวหน้าครอบครัวต้องจากไป ผู้นำของครอบครัวที่มีความรัก ความห่วงใย จะมองเห็นความสำคัญของการประกันชีวิต เพราะหลักประกันชีวิตที่หัวหน้าครอบครัวได้ตัดสินใจสร้างขึ้นไว้ เป็นจำนวนเงินที่มีมูลค่ามากพอ ทำให้ครอบครัวของเขาสามารถใช้ชีวิตอยู่ต่อไปได้ อย่างมีความสุขตลอดไป ถ้าจะหันไปมองทางด้านคนโสด ดูเหมือนว่า ความเป็นคนโสด ไม่มีเรื่องใดๆมาทำให้ตนเองต้องรับผิดชอบ คนโสดบางคนอาจมองไม่เห็นความสำคัญสำหรับเงินที่ควรเก็บออมเอาไว้ใช้ข้างหน้า ชอบคิดไปว่าเฉพาะคนที่มีครอบครัวเท่านั้นที่มีภาระรับผิดชอบ จนลืมมองดูตนเอง คนโสดที่เข้าใจว่าตนเองมีความอิสระ ตัวคนเดียว เป็นอะไรไปก็ไม่มีใครเดือดร้อน มาลองพิจารณากันดูสักนิดซิครับว่า คนโสดจริงๆ ถ้ามีชีวิตยืนยาวไปจนถึงวันเกษียณอายุ ไม่มีใครจ้างงาน รายได้ที่เคยมีเข้ามาเป็นประจำขาดหายไป แต่ชีวิตยังมีความจำเป็นต้องใช้จ่ายอย่างต่อเนื่อง ปัจจัยสี่ อาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค ต้องใช้เงินซื้อหามาทั้งสิ้น หากเงินเก็บที่มีอยู่ มีไม่มากพอ เพราะขาดการวางแผนออมเงินมาตั้งแต่วัยทำงาน หรือมีเงินที่เก็บไว้ส่วนหนึ่งบ้าง มีบางครั้งในช่วงจังหวะเวลาของชีวิต เกิดมีสิ่งยั่วยวนทางใจระหว่างเส้นทางการออมเงิน นำเงินที่ตั้งใจเก็บไว้ มาใช้จ่ายไปก่อนบ้าง เมื่อถึงเวลาจำเป็นของวัยที่ต้องใช้เงินของตนเองขึ้นมา อาจมีเหลือไว้ไม่มาก เราจะทำอย่างไรกับตนเองในเวลานั้น สิ่งสำคัญที่จะลืมไม่ได้ หลังวัยเกษียณของพวกเรา อายุที่มากขึ้น ปัญหาสุขภาพย่อมเกิดตามมา ค่ารักษาพยาบาลต่างๆ ทุกวันนี้ มีค่าใช้จ่ายที่สูงมากๆ ถ้าเกิดเป็นโรคบางอย่าง ที่ต้องใช้เงินรักษาเป็นเงินจำนวนมาก แม้แต่คนที่มีฐานะดีๆบางคน ก็ไม่สามารถที่จะยื้อชีวิตของตนเองไว้ได้ ทั้งๆที่มีเงินจ่ายให้กับการรักษาตัวในครั้งนั้นๆ ด้วยแพทย์ที่มีฝีมือดีๆ นั่นหมายถึงว่า คนโสดที่ขาดวินัยการเก็บออม ในบั้นปลายของชีวิตจะต้องพบกับปัญหาหลายด้าน การประกันชีวิตช่วยให้คนโสดเก็บออมเงินไว้อย่างเป็นระบบ เก็บเพื่อเก็บ ไม่ใช่เก็บเพื่อใช้ และด้วยความรัก ความห่วงใย ความผูกพันต่างๆ เหล่านี้จึงเป็นปัจจัยสำคัญให้งานประกันชีวิต เป็นงานที่ได้ช่วยเหลือผู้คนจำนวนมากมาย ได้ตระหนักรู้ว่า ควรจัดการแบ่งปันเงินส่วนหนึ่ง ประมาณ 10% ของรายได้ทั้งปี มาสร้างความคุ้มครองไว้ส่วนหนึ่ง เพื่อป้องกันการสูญเสียรายได้ของครอบครัวในวันที่ความสามารถในการหารายได้ของหัวหน้าครอบครัวยุติลง หรือสร้างบัญชีการออมเงินไว้ให้ตนเองได้ใช้ในวันเกษียณอายุ รูปแบบกรมธรรม์เหล่านี้ เป็นการแสดงถึงความรักของหัวหน้าครอบครัวที่มีต่อครอบครัวตนเอง คนโสดที่มีความรักตนเอง ต้องการใช้ชีวิตในวัยเกษียณอย่างมีความสุข และเจ้าของธุรกิจ ที่ต้องการให้ธุรกิจของตนเอง สามารถส่งต่อให้กับทายาทได้ทำการบริหารในโอกาสต่อไป

งานของผมจึงเป็นงานที่ผมมีความปรารถนาจะไปพบกับคนที่ผมรู้จัก เช่น ญาติ เพื่อน พี่น้อง ทุกๆ แห่งที่ผมนึกได้ จัดการนำรายชื่อไปสู่แผนการปฏิบัติงาน โทรนัดและเข้าพบ เพื่อทำหน้าที่ชี้ประเด็นปัญหาเฉพาะ หรือปัญหาทั่วไปให้กับผู้คนได้รับรู้ พร้อมช่วยให้พวกเขาได้บรรลุตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการ แล้วการบอกต่อก็เกิดขึ้น ใช่แล้วครับ การแนะนำแบบปากต่อปาก ทำให้วิถีชีวิตของผมสำหรับการเดินทางจึงเปลี่ยนไป ตามแต่สายลมแห่งโชคชะตาจะพัดพาไปในแต่ละวัน แต่ละสัปดาห์ เดือน ปี ผมไปทุกที่ ที่มีโอกาสใหม่ๆ ผมไปเพราะใครบางคนให้โอกาสในการทำงาน จนบางครั้งผมต้องแสวงหาโอกาสใหม่ๆ สำหรับการทำงาน เช่นการออกพบคนแปลกหน้า การออกไปสำรวจตลาด ความคิดเห็นของผู้คนที่มีทัศนต่างๆ เกี่ยวกับการประกันชีวิต ผมเดินตลาดสดยามเช้า แหล่งชุมชนที่มีผู้คนมาทำการจับจ่ายใช้สอย สถานที่ก่อสร้างขนาดใหญ่ที่มีวิศวกร ผู้รับเหมาจำนวนมาก หัวหน้าคนงานต่างๆ ที่มีความเสี่ยง ถนนแต่ละสายที่มีผู้ประกอบกิจการ ผมเข้าไปแนะนำตนเองให้รู้จักด้วยนามบัตรของตัวแทนประกันชีวิต ผมสร้างความสัมพันธ์จากการพูดคุย สอบถามความคิดเห็น รับฟังปัญหาที่พวกเขาเคยพบ เคยรับรู้ บางคนเข็ดขยาด เบื่อ แต่บางคนชื่นชม ชอบ และยกย่องแนวทางการประกันชีวิต ที่ช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่าย ยามมีเหตุการณ์สำคัญๆ ที่ต้องใช้เงิน ระบบประกันภัยช่วยพวกเขาได้ ผมได้มีโอกาสรับฟังปัญหาสารพัด สารพัน ผมนำสิ่งเหล่านี้มาพูดคุย แนะนำให้ผู้บริหารรับทราบแนวทาง เพื่อปรับปรุงระบบการทำงาน และผมเรียนรู้ที่จะปรับปรุงและพัฒนาตนเอง เพื่อให้เป็นตัวแทนในดวงใจของลูกค้า

ผมเองและเพื่อนร่วมงาน เคยแยกกันเดินตลาดคนละฟากถนนสายหนึ่ง มีโอกาสเจอลูกค้าของบริษัทของพวกเรา แล้วไม่มีความสุขมากนักต่อกรมธรรม์ที่เคยถือไว้ เมื่อเห็นว่าพวกเรามีความพร้อมในการให้บริการจึงเปิดใจรับฟัง ทำให้มีการขายใหม่เกิดขึ้น ในเวลาต่อมาลูกค้าท่านนี้ ได้เพิ่มเติมกรมธรรม์ใหม่อีกหลายฉบับ รวมทั้งญาติ เพื่อน พี่น้องอีกมากมาย แม้แต่วันที่ผมมีโอกาสขึ้นบ้านใหม่ ทั้งการตกแต่ง ต่อเติม ก็มาช่วยทำให้ พร้อมมอบของขวัญเป็นสร้อยคอทองคำให้กับผมอีกด้วย ถ้าจะถามราคาเป็นจำนวนเงินเท่าไรนั้น ผมไม่อยากประเมินสิ่งเหล่านี้เป็นตัวเงิน เพราะความสัมพันธ์ที่พวกเรามีให้กันและกันมีคุณค่ามหาศาล และติดตรึงอยู่ในหัวใจของพวกเราอย่างยาวนาน แม้ไม่ใช่ญาติก็สนิทยิ่งกว่าญาติ ไม่ใช่เพื่อนแต่พวกเราก็ผูกพันกันตลอดไป ผมเดินตลาดแบบนี้บ่อยมากจนเกือบเป็นประจำ

ผมมีความคิดที่นำไปเปรียบเทียบกับการใช้ชีวิตการเป็นทหารว่า ขนาดเราอยู่ใกล้ความตาย เรายังไม่กลัวตาย และผมเองเคยอยากตายในสนามรบ เพื่อให้สมศักดิ์ศรีชายชาติทหารที่กล่าวปฏิญาณตนว่า “ตายในสนามรบ เป็นเกียรติของทหาร.., ตายเสียดีกว่าที่จะละทิ้งหน้าที่” นี่ผมเพียงแค่ไปพบผู้มุ่งหวัง เขาไม่ทำ เขาปฏิเสธ เขาไม่เห็นด้วย เขาต่อว่าเรื่องนั่นเรื่องนี่ ไม่มีอันตรายอะไรที่รุนแรงทำให้ผมต้องตายได้ เพียงแค่นี้เอง…งานง่ายๆ ง่ายกว่าการเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายที่ชายแดนตั้งเยอะ…ผมจัดตารางการทำงานในแต่ละสัปดาห์ หารายชื่อที่นัดหมายมาลงใน Weekly Plan ผมกำหนดวันพฤหัสบดีของสัปดาห์มาพบกับตัวแทนคนอื่นๆ แล้วจับคู่บัดดี้ออกทำงานภาคสนาม สร้างเสริมพัฒนาการของการทำงาน การขยายตลาดต่างๆ ทำให้ผลงานในปีที่สอง มีผลงาน 78 ราย สร้างรายได้ 468,031 บาท และในปีต่อมา สร้างผลงานอีก 72 ราย สร้างรายได้ 661,938 บาท

ผมเรียนรู้หลายๆอย่างไปพร้อมกัน ผมเห็นความสำคัญของการเรียนรู้ ผมให้เวลาสำหรับการประชุมทุกครั้งที่สำนักงานจัดหามาให้ เช่น สโมสรฟูลไทม์ มีทุกวันจันทร์ สโมสรบ่ายวันเสาร์ มีทุกวันเสาร์ สโมสรสตาร์ 24 มีเดือนละ 1 ครั้ง สโมสรของเครือมีทุกเดือนๆละครั้ง ในวันพุธ สโมสรพรีซุป วันพฤหัสบดี เดือนละครั้ง ผมไม่เคยขาดการประชุมแต่ละครั้ง แต่ละกิจกรรม ทุกๆโอกาสผมยึดหลักที่ว่า “ความรู้ทำให้คนองอาจ” “นกไม่มีขน คนไม่มีความรู้ บินสู่ที่สูงไม่ได้” ผมเรียนรู้ทุกอย่างในห้องประชุม ตั้งแต่เริ่มต้นจนจบครบการประชุม ผมไม่ชอบลุกออกจากห้องประชุมถ้าไม่จำเป็น เพราะทุกช่วงจังหวะของการประชุม อาจมีแนวคิดดีๆ จากใครบางคน ที่เขาตั้งใจเอามาฝาก แล้วเขากำลังจะบอกกับเรา ขอเพียงแค่ตั้งใจฟังให้ดี แล้วอย่าลืมจดหลักการ วิธีการเหล่านั้น เพราะการจดดีกว่าจำ แล้วก็นำไปใช้ …..บางครั้ง ระหว่างการรับฟังการบรรยาย แนวคิดดีๆบางประเด็น ทำให้ผมเห็นภาพอื่นหรือแนวความคิดอื่นๆ ที่ซ้อนขึ้นมาในความคิด กลายเป็นแนวคิดใหม่แบบผสมผสาน ผมก็ไม่ละเลยที่จะรีบฉกฉวยช่วงเวลาดีๆ เหล่านี้ เขียนลงไปในสมุดบันทึกที่ผมพกติดตัวตลอดเวลา ผมรู้ว่าทุกอย่างที่ผมกำลังศึกษาอยู่นี้ กำลังเก็บเข้าไปในความทรงจำ เพื่อนำไปใช้ในวันข้างหน้า เสมือนหนึ่งผมกำลังเก็บข้อมูลแต่ละเรื่องเข้าสู่ระบบไฟล์ริ่งในแฟ้มๆหนึ่ง ใส่เข้าไปในลิ้นชักแต่ละชั้น ในตู้เหล็กใบใหญ่ที่มีเรื่องราวมากมาย แล้ววันหนึ่งในวันข้างหน้า ผมจะหยิบมันมาใช้ได้ เพียงแค่เสี้ยววินาที ด้วยระบบสมองที่มีความเป็นอัจฉริยะของความเป็นมนุษย์ นั่นเป็นเรื่องที่น่าทึ่งใช่ไหมครับ? นอกจากการเรียนรู้ในห้องประชุม ผมชอบใช้เวลาส่วนหนึ่งไปที่ศูนย์การค้า และเข้าไปร้านหนังสือ ผมใช้เวลาค่อนข้างมากในการเลือกหาหนังสือ เปิดดูเนื้อหาบางอย่าง ถ้าเป็นเรื่องที่ดีและผมคิดว่ามีประโยชน์กับการขาย การบริหาร การสร้างความสัมพันธ์ ฯลฯ ผมจะซื้อทันที โดยผมจัดงบประมาณสำหรับการซื้อหนังสือดีๆเหล่านี้ไว้เสมอ ผมมีโอกาสพูดคุยกับผู้บริหารรุ่นพี่ คุณสุรชัย เลิศสัตการ เป็นนักอ่านรุ่นพี่ ที่เราสองคนมักพูดคุยแลกเปลี่ยนชื่อหนังสือที่พวกเราได้ซื้อมา โดยคุณสุรชัยเคยบอกผมว่า หนังสือที่มีในวันนี้ถ้าซื้อได้ควรซื้อไว้ เพราะวันข้างหน้าราคาจะเปลี่ยนไปมาก และบางทีบางเล่มอาจไม่มีในตลาด พวกเราที่เป็นหนอนหนังสือด้วยกัน จึงหาโอกาสรวบรวมหนังสือดี มีคุณค่ามาเก็บไว้เป็นสมบัติของตนเองตามกำลังทรัพย์ที่จะจัดการได้

ผมโชคดีมีเจ้านายใจดีอย่างคุณธารินทร์ นันทาภิรักษ์ ที่มีความเป็นครู ความเป็นสุภาพบุรุษ มีเมตตาต่อลูกน้องและผู้คนรอบข้าง เป็นผู้ให้อย่างแท้จริง ท่านได้ให้ความรู้ ให้โอกาส รวมทั้งปัจจัยต่างๆ ที่ผลักดันให้แต่ละคนได้เดินไปข้างหน้า ทุกครั้งที่ท่านสอน ท่านตอกย้ำในเรื่องแนวคิด วิธีการ ให้ทำการฝึกฝน ครั้งแล้วครั้งเล่า ความเพียรพยายามของท่าน พวกเราไม่เคยเห็นท่านเหนื่อยต่อการทำหน้าที่ ท่านเคยบอกว่า “ผมจะไม่เลิกรา จนกว่าพวกเราจะสำเร็จกันทุกคน” จริงซินะ ถ้าพวกเราไม่ยอมสำเร็จให้ท่านเห็น เราควรจะถูกเรียกว่า เป็นลูกที่ดีได้อย่างไร …..ผมเรียนรู้กระบวนการต่างๆ จากท่านตั้งแต่วันแรกที่ผมเป็นตัวแทนประกันชีวิต จนกระทั่งวันนี้ วันที่ผมกำลังเป็นพรีซุปในปีบัญชี 2536 ใช่แล้วครับปีนี้เป็นปีที่ผมมีโอกาสจะได้แสดงฝีมือ แสดงพลังของการทำงาน แสดงศักยภาพของตนเองออกมาให้ปรากฏ เป็นภาพฝันของผมตั้งแต่วันที่ผมตัดสินใจในครั้งที่สองของการเดินเข้ามาในถนนสายการประกันชีวิตนี้ว่า ถ้าผมกลับเข้ามาเป็นตัวแทนประกันชีวิตอีกครั้งหนึ่ง ผมต้องสร้างความสำเร็จให้ยิ่งใหญ่ ทำงานตามกฎ ตามระเบียบที่วางไว้เป็นแนวทางปฏิบัติ สำหรับตัวแทนทุกคนที่ต้องการความก้าวหน้าในอาชีพนี้ ต้องใช้เวลาในการเป็นตัวแทน 3 ปี มีค่านายหน้ารวมกันเท่ากับ 900,000 บาท (เก้าแสนบาทถ้วน) การนับเวลา 3 ปีนี้ถ้าค่านายหน้ารวมกันแล้วไม่ครบ900,000 บาท ต้องไปเริ่มทำงานในปีบัญชีใหม่ ผลงานปีแรกสุดที่เคยทำไว้ ตัวเลขที่มีอยู่ไม่ว่ามากหรือน้อยจะหายไปไม่ถูกนำมาคิดให้ ผมใฝ่ฝันที่จะได้รับการเลื่อนตำแหน่งในวันที่ 1 ธันวาคม 2536 ตลอดเวลาของการทำงานผมเฝ้าตรวจสอบตัวเลขเสมอ ผมมีตัวเลขที่ต้องทำค่านายหน้าในปีที่ 3 นี้ไม่น้อยกว่า 400,000 บาท เป็นตัวเลขที่ต้องทำเพื่อสร้างคุณวุฒิของบริษัท เพื่อสร้างเกียรติประวัติการทำงานให้กับตนเอง เป็นตัวอย่างให้กับรุ่นน้องๆที่จะเดินตามเข้ามาร่วมงานกับผมในอนาคต แล้วยังมีตัวเลขที่ต้องทำในช่วงทดลองงาน 3 เดือนสุดท้ายก่อนมีการเลื่อนตำแหน่งอีก แล้วงานในปีนี้ผมต้องสร้างคนด้วยตนเอง ชักชวนคนเข้ามาร่วมทีมงาน สอนพวกเขาให้ทำงานให้เป็น สร้างผลผลิตให้ครบตามข้อกำหนด ต้องดูแลลูกค้าเก่า ต้องดูแลครอบครัว ต้องดูแลตัวเอง ผมจะทำได้หรือไม่ ? ….ไม่มีคำตอบอย่างอื่น นอกจากคำตอบเดียวที่ว่า…. “ผมต้องทำให้ได้”

ตอนที่ 5 เลือกที่จะลิขิตชีวิตเอง

จากการที่ได้เรียนรู้จากการสัมนาในครั้งนี้ ทั้งวิชาการ หลักการทำงาน แนวทางปฏิบัติตนเพื่อที่จะหาความสำเร็จให้ได้ในอาชีพตัวแทนประกันชีวิต ทำให้ผมมองเห็นภาพฝันใหม่ที่ชัดเจนมากขึ้น มองเห็นภาพของตนเองในวันข้างหน้าที่จะเติบโตอย่างมีคุณภาพ มีโอกาสสำเร็จในการทำงาน ความก้าวหน้าที่สามารถกำหนดได้ การเปลี่ยนแปลงของรายได้ การพัฒนาตนเอง พร้อมมีรางวัลชีวิตให้กับตนเองที่เกิดมาจากน้ำพักน้ำแรงของตนเอง โดยตัวเราเป็นคนสร้างขึ้นมา ผมเริ่มทบทวนอย่างหนักที่จะตัดสินใจเลือกชีวิตใหม่ เมื่อผมกลับจากสัมนาครั้งนั้น ผมตัดสินใจยื่นเรื่องขอลาออกจากราชการ ซึ่งอายุราชการของผมกำลังจะครบ 15 ปีในวันที่ 30 เมษายน 2535 โดยมีอายุราชการบวกทวีคูณระหว่างการปฏิบัติราชการชายแดนรวมทั้งหมด 22 ปี 7 เดือน ผมตัดใจถูกหรือผิด ผมไม่จำเป็นต้องปรึกษาใครอีกแล้ว ผมพูดกับตนเอง ผมปรึกษากับตนเอง ผมรู้ว่าผมคือนักสู้คนหนึ่ง ผมมีเลือดนักสู้ของคุณพ่อเสนาะ พิศนุภูมิ อยู่ในกระแสเลือดทุกหยด ผมมีความกล้าหาญอยู่ในตนเอง เพราะผ่านประสบการณ์การต่อสู้ การเรียนรู้ที่จะเอาชีวิตรอดในสถานการณ์ที่เลวร้าย แม้แต่ความตายผมก็ยังไม่เคยกลัวตายในสนามรบ กลับคิดอยากตายในสนามรบด้วยซ้ำ เพราะคำกล่าวปฏิญาณตนของทหารที่กล่าวว่า “ตายในสนามรบเป็นเกียรติของทหาร” …. ผมพร้อมที่จะฝ่าฟัน ผมพร้อมที่จะมุ่งไปข้างหน้า ผมเชื่อว่าในเมื่อทุกคนที่เคยเข้ามาสัมผัสกับงานประกันชีวิตทำได้ ….สำหรับผมนายพิชิต พิศนุภูมิ ต้องทำได้เช่นเดียวกัน ….. ผมรอเวลาที่จะให้อายุราชการครบ 15 ปี พอทราบข่าวจากเพื่อนๆที่อยู่วงในบอกมาว่าทางกรมฯ ไม่เห็นชอบต่อการลาออก แต่ผมโชคดีที่ยังมีเพื่อนๆ ที่รับรู้ความตั้งใจอันเด็ดเดี่ยวของผม ได้รายงานเสนอให้ท่านเจ้ากรมฯทราบว่า คุณพิชิต พิศนุภูมิตั้งใจไปทำงานนี้แล้ว คงรั้งไว้ไม่อยู่ หนังสือลาออกของผมจึงได้รับการอนุมัติให้ลาออกในเวลาต่อมา

ทุกท่านที่รักครับ ชีวิตการเป็นตัวแทนของผมไม่ได้สวยหรูตั้งแต่แรก เป็นชีวิตที่ดิ้นรน ฝ่าฟันในทุกๆด้าน ทั้งความรู้เกี่ยวกับงานขาย ทัศนคติส่วนตัว ความเป็นตัวตนของตัวเองสำหรับการเป็นทหารมาอย่างยาวนาน นั่นคือความแข็งกระด้าง ยอมหักไม่ยอมงอ ในช่วงเวลาที่ผมกำลังจะลาออกจากอาชีพรับราชการทหาร อาชีพที่เป็นความภาคภูมิใจของพ่อแม่อันเป็นที่รักเคารพของผมอย่างที่สุด โดยส่วนตัวแล้วผมไม่อยากให้ท่านรู้เร็วเกินไปนัก ยังหาโอกาสที่เหมาะบอกกับท่านไม่ได้ ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดี ….. แล้ววันหนึ่งก็มาถึง วันที่ผมกลับไปหาคุณพ่อกับคุณแม่ที่จังหวัดชัยนาท คุณพ่อท่านอยู่บ้านเพียงลำพัง เมื่อท่านทราบข่าวว่าผมกำลังจะลาออกจากการรับราชการทหาร ท่านรู้สึกเป็นห่วงอย่างมากและอยากให้รับราชการมากกว่า แม้จะอธิบายเหตุผลหลายอย่าง ท่านก็ย้ำเตือนว่างานประกันชีวิตเป็นงานที่ต้องทุ่มเท ระมัดระวังในการใช้เงิน ซื่อสัตย์ต่อลูกค้า ต่ออาชีพ ผมรับปากคุณพ่อว่าผมจะทำหน้าที่ในการเป็นตัวแทนประกันชีวิตอย่างดีที่สุด ผมจะสร้างความฝันให้เป็นความจริงให้ได้ ผมจะเริ่มต้นสร้างความสำเร็จบางอย่างในปี 2535 นี้ให้มีความชัดเจน ….ผมกราบลาคุณพ่อ เพื่อมาหาคุณแม่ที่บวชเป็นชีอยู่ที่วัดเขากระดี่ ตำบลธรรมามูล อำเภอเมือง จังหวัดชัยนาท เป็นช่วงเวลาที่พระสงฆ์และแม่ชีกำลังสวดมนต์ ผมนั่งฟังพระและชีสวดมนต์จนเสร็จ ท่ามกลางผู้คนจำนวนมากที่มาทำบุญตักบาตรที่วัดแห่งนี้ เมื่อถึงช่วงเวลาฉันภัตตาหารเช้าของพระสงฆ์ และแม่ชี ผมเข้าไปกราบแม่ชีสวาท ซึ่งแม่ชีสวาทได้มองมาที่ผม พอรู้ว่าเป็นผมที่กำลังเข้าไปหา ท่านก็เอ่ยถามว่า “ได้ยินข่าวว่าลูกชายจะลาออกจากราชการ ทำไมลาออกล่ะลูก รับราชการนั้นดีแล้ว….” ท่านเริ่มมีน้ำตาเอ่อคลอไหลออกมา ผมจึงบอกแม่ชีไปว่า “แม่ชีครับ เห็นผมแต่งตัวไหมครับ ผมดูดีกว่าตอนรับราชการนะครับ” แม่ชีสวาท ก็เอ่ยขึ้นอีกว่า “อย่าแต่งตัวมาหลอกแม่เลย..อยากให้ลูกรับราชการมากกว่า…” ผมจึงบอกกับแม่ไปว่า “แม่ชีอย่าได้ร้องไห้เสียใจไปเลย ผมสัญญาว่าจะไม่ทำให้แม่ชีผิดหวัง ผมจะตั้งใจทำงานเพื่อสร้างความสำเร็จให้แม่ชีได้มีความชื่นใจ” แน่นอนครับ วันนั้นผมแต่งตัวเสื้อเชิ้ตผูกไทด์นั่งคุยกับแม่ชีที่วัด ผมทำให้ท่านต้องเสียน้ำตาต่อความรู้สึกเสียใจที่ลูกชายของท่านกำลังจะลาออกจากอาชีพราชการที่มีความมั่นคงสูง มาทำอาชีพเป็นตัวแทนขายประกันชีวิตที่มีความไม่แน่นอนสูงในเรื่องของรายได้ และความมั่นคง..ในความคิดของคนทั่วๆไป ความกังวลใจของท่านย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ผมนั่งคุยและรอให้แม่ชีสวาทมีความสบายใจขึ้นมาระดับหนึ่ง พร้อมๆกับสายตาของผู้มาร่วมทำบุญที่เฝ้าดูอยู่ห่างๆ บนความคิดที่หลากหลายของแต่ละคน

เมื่อผมได้กราบลาแม่ชีสวาทเพื่อเดินทางกลับจากจังหวัดชัยนาท เพื่อขับรถมุ่งหน้าสู่กรุงเทพฯ บ่าสองข้างของผมเริ่มหนักอึ้งขึ้น ขณะนี้ นับจากนี้ และต่อแต่นี้ ผมต้องไม่สร้างความผิดหวังให้บุพการีของผมต้องเสียใจอีกต่อไป ผมจะต้องสร้างความสำเร็จของงานนี้ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม ผมจะต้องทำงานอย่างหนัก เพราะปีที่ผ่านมา ผมมีผลงานเพียง 25 รายปี มีค่านายหน้า 68,265 บาท ผมจะต้องสร้างผลงานให้ติดคุณวุฒิของบริษัทให้ได้สักหนึ่งคุณวุฒิเพื่อได้มีโอกาสลงประกาศในหนังสือพิมพ์ เช่นคุณวุฒิ MDC ,จำนวนรายประกันชีวิต ABCD ฯลฯ ผมต้องเลือกที่จะเป็น แล้วผมต้องเป็นให้ได้ในสิ่งที่ผมเลือก แล้วปี 2535 ผมก็ได้ลาออกจากการรับราชการทหารเรือ ตั้งแต่ 1 พฤษภาคม 2535 เป็นตัวแทนเต็มเวลา สร้างผลงานและมีรายได้ 468,031 บาท ติดคุณวุฒิ MDC,75 รายประกันชีวิต ตัวแทนเกรด B ทำให้มีรูปลงหนังสือพิมพ์หลายฉบับ พร้อมมีโปสเตอร์ของบริษัทที่นำผู้ติดคุณวุฒิมาทำโปสเตอร์พิมพ์สี่สี แจกจ่ายไปทั่วประเทศ และผมก็นำไปให้คุณพ่อติดข้างฝาบ้านเป็นเรื่องที่น่าชื่นชมให้กับผู้คนที่ผ่านมาแวะเวียนพูดคุย และคุณพ่อคุณแม่ได้อวดใครต่อใครว่า ลูกชายเป็นคนเก่งคนหนึ่งใน AIA หลายท่านคงสงสัยนะครับว่า แล้วจู่ๆ ผมก็กลายเป็นคนเก่งขึ้นมาได้อย่างไร? เคยล้มเหลว แต่ไม่ล้มเลิก เคยขายได้ตอนเป็นพาร์ทไทม์ 25 ราย มีรายได้ 68,265 บาท พอมาทำงานเป็นตัวแทนฟูลไทม์ในครึ่งปีบัญชีของปี 2535 มีผลงานมากขึ้นกว่าหนึ่งเท่าตัว มีรายได้มากกว่า 5-6 เท่า ผมทำอย่างไร ? ผมมีแนวคิดอย่างไร? และผมปฏิบัติงานแบบไหน…รอติดตามครับ

ตอนที่ 4 สัมผัสความสำเร็จ

ในชีวิตของทุกๆคน “ความสำเร็จ” ใครๆก็อยากได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงินทอง ครอบครัว การงาน การได้รับความสำเร็จจากของรางวัล แม้จะดูไม่มากมายด้วยราคา แต่คุณค่าที่เกิดขึ้นในจิตใจ ยิ่งใหญ่กว่ามูลค่าที่ประมาณด้วยความรู้สึกของผู้พบเห็น หากความสำเร็จที่ได้รับเริ่มเกิดจากครั้งที่หนึ่ง ครั้งที่สอง และครั้งต่อๆไป จะทำให้ทุกคนได้เรียนรู้ และต้องการเสพติดความสำเร็จนั้นจนเคยชิน นั่นคือสิ่งที่ทุกคนจะมีโอกาสในการก้าวไปข้างหน้า และเติบโตได้อย่างดีต่อไป

ถ้าจะผ่านช่วงชีวิตของการทำงานในช่วงแรก สำหรับการกลับเข้ามาสู่อาชีพตัวแทนขายประกันชีวิตไปซะเลยก็คงดูแปลกๆ ว่าผมคิดอย่างไร? ทำอย่างไร? มีความสำเร็จมากน้อยแค่ไหน? คงต้องใช้เวลาอธิบายกันพอสมควรอย่างนี้ว่า เมื่อผมได้พิจารณาอย่างรอบคอบแล้วว่า “ข้าพเจ้าหากรับราชการต่อไป โอกาสแห่งความก้าวหน้าก็ไม่น่าจะเกิดขึ้นง่ายๆ ด้วยเป็นคนที่แข็งกระด้าง ดื้อรั้นไม่ยอมคน ไม่ยอมลู่ลมไปตามสถานการณ์ ดังที่เคยปรากฎมาหลายๆครั้ง ไม่รู้จักการเอาอกเอาใจในเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นในโอกาสนั้น โอกาสนี้ ฯลฯ” แล้วถ้าหันมาทำงานด้านการขายล่ะ ผมจะทำได้หรือ งานนี้ยิ่งต้องยอมอดทน ต้องยอมอ่อนน้อม ต้องยอมรับฟัง ต้องพร้อมเอาใจใส่ ต้องพร้อมที่จะตามใจคนอื่นๆ ดังวลีเด็ดที่ใครๆก็พูดกันว่า “The customer is the King” โอ้โห! นี่เป็นอะไรที่ไม่ใช่เรา เราจะทำได้หรือไม่? ก็พยายามคิดทบทวนครั้งแล้วครั้งเล่า พอสรุปเข้าข้างตนเองขึ้นมาว่า ในเมื่อใครๆ ก็พากันทำงานนี้ได้ ไม่ว่าจะเป็นนาย ก. นาย ข. นาย ค. หรือรวมไปถึงนาย ฮ.นกฮูก เมื่อคนเหล่านั้นทำได้ ทำไม…นายพิชิต พิศนุภูมิ จะทำไม่ได้ ถ้าคิดจะทำ และทำไมต้องทำงานนี้ ทำไปทำไม ….ครับ คำตอบก็เกิดขึ้นว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาสิบกว่าปี ผมมีโอกาสรับราชการมาอย่างยาวนานแล้วใช่หรือไม่ เริ่มไต่เต้าเงินเดือนตั้งแต่เป็นนักเรียนจ่า ปี 2520 รับเงินเดือนละ 220 บาท จนกระทั่งติดยศเมื่อ 16 เมษายน 2522 ได้รับเงินเดือนๆแรก 1,280 บาท จากการตรวจสอบคำสั่งการปรับเงินเดือนตั้งแต่วันแรก บวกช่วงเวลาทำงานมาทั้งหมด 15 ปีเต็มหรือ 180 เดือน มีรายได้ทั้งหมด 463,325 บาท ถามว่ารู้สึกอย่างไร ขอบอกครับว่า “ผมมีความภาคภูมิใจสำหรับการได้เกิดมาเป็นทหารเรือไทย มีโอกาสรับใช้ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นสถาบันสูงสุดของพวกเราชาวไทยทั้งประเทศ ผมชื่นชมและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งต่อการได้มีส่วนร่วมในการปกป้องอธิปไตยของชาติในช่วงวันเวลาที่ผ่านมา”

ด้วยเหตุที่ว่าผมเป็นคนที่มีครอบครัวแล้ว ลูกของผมทั้งสามคนเป็นดวงใจของผม เป็นหัวใจของผม ที่ผมได้ทำให้พวกเขาได้เกิดมาบนโลกใบนี้ และพวกเขาจะต้องดำรงชีวิตอยู่ได้ ทั้งในวันนี้และวันข้างหน้า อย่างมีเกียรติและมีศักดิ์ศรี ปัจจัยสำคัญต่อการดำรงชีวิตของผู้คน คือรายได้เพื่อนำมาเป็นค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เมื่อตอนผมรับราชการทหาร ผมเคยเช่าบ้านรวมกับเพื่อนๆ แถวบางกอกใหญ่ เห็นเพื่อนบ้านบางคนที่ติดขัดด้านการเงิน เดินมาหยิบยืมเงินจากเพื่อนบ้านใกล้ๆกัน ครั้งละ 20 บาทบ้าง 50 บาทบ้างเพื่อนำเงินไปให้ลูกๆเป็นค่าขนมไปกินโรงเรียน หรือไปซื้อกับข้าวเพื่อนำมาเป็นอาหารทานในบางครั้ง แน่นอนละครับ ผู้ที่ให้ยืมก็ไม่พอใจ เพราะเงินที่เคยให้ยืมไปแต่ละครั้ง ไม่เคยได้รับกลับมาบ้างเลย แต่ผู้ที่มาขอยืมก็ไม่มีที่จะไปหยิบยืมจากที่ใด ภาพที่เห็นขณะนั้น เหตุการณ์ที่สัมผัส ทำให้เกิดความรู้สึกสะท้อนเข้าไปในจิตใจของตนเอง และเกิดคำถามขึ้นมากับตัวเราว่า วันข้างหน้าลูกของผมต้องเติบโตขึ้นทุกๆวัน ลูกของผมต้องเข้าเรียนหนังสือ พวกเขาต้องใช้เงินจำนวนมากมาย แล้วผมจะหาเงินที่ไหนให้พวกเขาได้เล่าเรียน เรียนที่โรงเรียนแบบไหน มหาวิทยาลัยเปิดอย่างนั้นหรือ หรือเรียนทางไปรษณีย์แล้วก็ให้ทำงานไปด้วย หรือไม่ให้โอกาสพวกเขาได้เรียน แต่คำถามต่อมา…พวกเขาเมื่อโตแล้วก็ต้องทำงานเพื่อหารายได้เลี้ยงดูตนเองไม่ใช่หรือ ตลอดช่วงชีวิตที่ผมรับราชการ เห็นรุ่นพี่ หรือรุ่นพ่อหลายๆคน ตลอดช่วงเวลาที่พวกเขากำลังรับราชการ มีคนจำนวนมากที่ได้สิทธิ์อยู่บ้านหลวง อยู่กันไปจนเกษียณอายุราชการ แล้วเมื่อถึงวันหนึ่ง วันที่พวกเขาต้องอำลาจากราชนาวีไทย พวกเขาก็ต้องคืนบ้านให้กับทางราชการ เพื่อให้สิทธิ์กับคนรุ่นต่อๆไปได้พักพิงเพื่อปฏิบัติหน้าที่ให้กับทางราชการต่อ ผู้ที่เกษียณอายุราชการบางคนไม่ได้เตรียมตัวไว้ล่วงหน้าในการที่จะมีบ้านพักเป็นของตนเอง ต้องหาบ้านเช่าเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในด้านที่พักไปก่อน ส่วนเงินเดือนที่ได้รับมาโดยตลอดนั้น แม้จะมีจำนวนเงินที่สูงพอกับการดำรงชีพ แต่การที่สังคมมีการแข่งขันกันในเรื่องของการปรุงแต่งด้านทรัพย์สิน บ้านโน้นมีทีวีสี 24 นิ้ว บ้านนั้นมีทีวี 32 นิ้ว บ้านเราก็อยากได้ แต่…ไม่มีเงินซื้อ ทำไงดีล่ะ…เงินผ่อนซิครับ ตานี้ละ…อะไรๆในบ้านก็ผ่อนไปหมด เงินเดือนที่ออกมาแต่ละเดือนหลังจากหักลบสินค้าที่ผ่อน บวกกับหนี้สินนอกระบบที่ต้องส่งดอกเบี้ยรายงวดแล้ว เหลือใช้ไม่กี่บาท บางทีซ้ำร้ายกว่านั้น ลูกแก้วเมียขวัญที่น่ารักก็เกิดความอยากได้นั่น อยากได้โน่น อยากได้นี่ พากันมาประจบเอาใจคุณพ่อที่แสนดีว่า พ่อจ๋า ลาออกแล้วรับเงินบำเหน็จนะพ่อ พวกเราอยากได้รถยนต์สักคัน อยากได้บ้านใหม่สักหลัง พวกเราจะเอาเงินบำเหน็จพ่อไปดาว์นรถ แล้วมาช่วยกันผ่อน ….คุณพ่อก็จะเกิดอาการลังเลต่อการตัดสินใจครั้งยิ่งใหญ่ เพราะนั่นหมายถึงรายได้รายเดือนกำลังจะหมดไป หากทำการรับบำเหน็จแทนบำนาญ …หากครอบครัวไม่มีรายได้ทางอื่นๆมาจุนเจือ ตนเองจะเอาเงินที่ไหนมาใช้บ้าง…อย่างไรก็ตามความรักของพ่อแม่ที่แสนยิ่งใหญ่ก็ต้องตามใจมติส่วนใหญ่ของที่ประชุมในครอบครัว จัดการทำเรื่องขอรับบำเหน็จ แล้วทุกอย่างก็เป็นไปตามที่ได้ตกลงกันไว้จริงๆ…..แต่….เฉพาะช่วงแรก เพราะเมื่อทุกคนได้ทุกอย่างตามที่หวังแล้ว เริ่มหลงระเริงกับความต้องการของตน บางครั้งเพลิดเพลินกับการเที่ยวเตร่ สรวลเสเฮฮาตามประสา แล้วก็คิดว่าการหารายได้เข้าบ้าน ยังมีเวลาให้คิด ยังมีเวลาให้ทำ เดี๋ยวน่าพ่อ พวกหนูกำลังสนุก ขอเวลาอีกแป๊บ….ฯลฯ พี่น้องครับ…สินค้าใดๆเมื่อทำสัญญาเรียบร้อย ระบบการผ่อนทุกรายการจะปฏิบัติหน้าที่อย่างเคร่งครัด ทุกสิ้นเดือนใบเตือนครั้งที่ 1 จะถูกส่งมาตามปกติ หากยังไม่มีการชำระเงินเข้าไป ใบเตือนครั้งที่ 2 จะเร่งเร้าให้ชำระหนี้ และติดตามด้วยคนทวงหนี้จะมาถึงบ้านเป็นลำดับถัดๆไป พวกเขามีสิทธิ์ยึดสินค้ากลับคืนได้

….คุณพ่อ หรือคุณแม่ก็ตามที่เกษียณอายุราชการ มีความตั้งใจที่จะได้พักผ่อนอยู่กับลูกหลาน ต้องกัดฟันลุกขึ้นมาสู้ใหม่ ทำงานใหม่ เพื่อหารายได้ให้กับครอบครัว เป็นเพราะความรักของพ่อแม่ที่มีต่อลูกๆ อันเป็นที่รักยิ่ง ….. ภาพเหล่านี้เป็นเพียงภาพประกอบเล็กน้อยในสังคมบ้านเรา บางคราวอาจมีภาพสะท้อนที่เกิดขึ้นจริงๆ สร้างความรู้สึกสะเทือนใจมากกว่านี้ หรือบางครอบครัวที่โชคดี มีความรอบคอบในการวางแผนการใช้ชีวิต ก็จะมีความสุขที่พร้อมสรรพ ด้วยการเตรียมรับกับสถานการณ์ในวันข้างหน้าของหัวหน้าครอบครัวที่ชาญฉลาด ส่วนตัวผมเองนั้น การทำงานแบบเดิมไม่สามารถตอบโจทย์ในอนาคตได้ แต่การทำงานที่ใหม่ ในอาชีพใหม่ที่ตนเองไม่ถนัด และเคยล้มเหลวมาแล้ว แต่ยังไม่ยอมล้มเลิกความคิดที่จะทำ ผมจะทำได้หรือ ผมจะทำให้สำเร็จได้จริงหรือไม่ ผมคงไม่สามารถทำนายอนาคตได้ แต่เป็นเพราะความรู้ที่ได้อ่านจากหนังสือหลายๆเล่ม เริ่มตกผลึกทางด้านความคิดว่า งานขายเป็นงานแห่งโอกาส งานขายเป็นทางลัดของการสร้างชีวิตใหม่ งานขายสร้างรายได้มากกว่าอาชีพอื่นๆ โดยเฉพาะงานขายที่ทำได้ยากมากๆ แต่สร้างความมั่งคั่งให้กับผู้คนได้มากมาย (ถ้าทำได้) คืองานขายประกันชีวิต และถ้าจะให้รวยจริงๆ ต้องเข้ามาทำงานที่นี่ เอไอเอ ….เอาละครับ…ก่อนที่ทหารจะออกไปปฏิบัติหน้าที่ราชการชายแดน พวกเราที่เป็นทหารเรือยังต้องผ่านการฝึกอย่างหนัก พวกเราจดจำครูฝึกของพวกเราได้ทุกคน ลีลาการสอน ท่วงท่าแห่งการถ่ายทอด เคล็ดลับต่างๆในการใช้ชีวิตที่อยู่ในสนามรบ ถูกถ่ายทอดและตอกย้ำให้พวกเรารู้ว่า จงอย่าล้อเล่นกับชีวิต เพราะถ้าคุณพลาดเพียงนิดเดียว มันหมายถึงความตาย … ความตายนั้นไม่น่าพิสมัย แต่ทุกคนต้องเจอ แต่นักรบที่เก่งจริงๆไม่ควรตายง่ายๆ จำไว้….

เมื่อตัดสินใจที่จะเริ่มชีวิตใหม่ในการทำงานที่นี่ โดยครูที่ทำหน้าที่ถ่ายทอดกระบวนยุทธต่างๆ เป็นบุคคลที่เพียรซ้ำย้ำเตือนกับพวกเราให้จัดเวลามาหาความรู้ที่นี่บ้าง เพื่อจะได้ก้าวไปข้างหน้า คว้าความสำเร็จ…ถามว่าตัวผมเชื่อหรือไม่ ไม่หรอกครับ ถ้าเชื่อง่ายๆ ก็ไม่ใช่พิชิตนะซิ จริงป่ะ แต่การกลับมาครั้งนี้อีกครั้งเป็นการตัดสินใจที่จะมาเพื่อสร้างความสำเร็จและความยิ่งใหญ่ จึงต้องมาพร้อมกับความเชื่ออย่างหมดหัวจิตหัวใจ เจ้านายสั่งอะไรมา ผมพร้อมที่จะทำ และเมื่อผมทำ จะทำอย่างตั้งใจ ด้วยระเบียบวินัยของชายชาติทหาร “ผมพร้อมรบแล้วครับท่าน โปรดบัญชาการ และผมพร้อมที่จะก้าวเดินไปข้างหน้า 1…2…3….ผมจะก้าวเดินต่อไปไม่หยุดยั้ง จนกว่าพลังในชีวิตของผมจะหมดไป”

อันที่จริง ฉันเป็นใคร อย่าไปสน แต่เป็นคน เดินทางมา เพื่อคว้าฝัน ก้าวเข้าสู่ ธุรกิจ การประกัน ความเชื่อมั่น เต็มที่ ว่ามีชัย เมื่อวันวาน ผ่านไป ไม่หวนกลับ ได้ซึมซับ ประสบการณ์ ดั่งขานไข วันพรุ่งนี้ ฉันยังสู้ อยู่ด้วยใจ ที่มั่นหมาย ชัยชนะ ไม่ละวาง ต้องขอบอก กล่าวเพื่อน เตือนสติ ว่าดูซิ งานนี้ มีความหวัง จงทำจริง เดินหน้า อย่าพะวัง ทุ่มพลัง เต็มที่ ย่อมมีชัย การกลับเข้ามาทำหน้าที่ตัวแทนขายประกันชีวิตในครั้งที่สองอย่างเป็นทางการ หลังจากผ่านช่วงระยะเวลาแห่งการเรียนรู้จากหนังสือต่างๆ ที่ได้มีโอกาสค้นคว้า เก็บข้อมูลหลายๆทางเพื่อการตัดสินใจ จำได้ว่าในหนังสือการเดินตลาดที่ได้ผล 100% ของแฟรงค์ เบตเยอร์ คุณพ่อท่านได้บันทึกต่อท้ายไว้ส่วนหนึ่ง (เป็นความตั้งใจของผมที่จะอ่านหนังสือเล่มนี้โดยไม่อ่านบันทึกของคุณพ่อจนกว่าจะอ่านจนจบ และเกิดแนวคิดเช่นไร ก็จะบันทึกไว้ จึงขอนำส่วนหนึ่งของบันทึกนั้นมาฝากดังนี้)

คำบันทึกของคุณพ่อเสนาะ พิศนุภูมิ จากหนังสือการเดินตลาดที่ได้ผล 100% ของแฟรงค์ เบตเยอร์ ปี 2497 เป็นเครื่องเตือนใจให้รู้ว่า งานนี้อุปสรรคมีอยู่มากมาย หากคิดจะก้าวเดิน ต้องมีความอดทนอย่างหนักแน่น ใครจะไปรู้ว่า ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น อีก 30 กว่าปีต่อมา คนๆหนึ่งที่มีอาชีพรับราชการทหารเรือ ทำงานตามความฝันแรกคือการเข้ามาเป็นทหารได้ตามความตั้งใจ สำหรับงานขายประกันชีวิต ไม่เคยมีอยู่ในสมอง แต่มีความรู้สึกลึกๆที่ติดอยู่ในใจตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ แต่จำได้ว่าไม่ชอบ ไม่รักไม่หลงไหล และไม่เคยใฝ่ฝัน เมื่อมาลองทำดู ก็พบกับความล้มเหลว เมื่อได้อ่านหนังสือแนวทางการเดินตลาดที่ได้ผลจากคุณแฟรงค์ เบตเยอร์ ทำให้เริ่มรู้สึกตนเองได้ว่า มีข้อผิดพลาดที่เคยทำไปแล้วตั้งมากมาย ควรที่จะต้องทำการแก้ไขตนเองและต้องปรับปรุงอย่างหนัก

บันทึกครั้งที่ 1 ของข้าพเจ้า ต้นปี 2532 หลังจากลองวิชาไปได้สักพัก ลองทำเท่าที่รู้ หวังว่าจะเริ่มรู้วิธีทำ แต่ก็เดินทางต่อไปไม่ได้ไกลมากนัก เมื่อกลับมาย้ำคิด ย้ำอ่าน ทบทวนเรื่องราวต่างๆ เริ่มมองเห็นภาพความถูกผิดชัดเจนขึ้น จากการทบทวนเกี่ยวกับวิถีชีวิตในวันข้างหน้า ก็เริ่มมองเห็นภาพใหม่ที่ชัดขึ้นเรื่อยๆ

บันทึกครั้งที่ 2 นี้เริ่มมีผลต่อชีวิตในอนาคตของข้าพเจ้า การตัดสินใจในครั้งที่สอง คือการเข้ามาสอบความรู้การประกันชีวิตอีกครั้งหนึ่ง ทำให้มีรหัสตัวแทนในวันที่ 31 มกราคม 2534 เป็นตัวแทน Part time เข้ามาเรียนรู้การทำงานภาคสนามกับคุณธารินทร์ นันทาภิรักษ์ เป็นครั้งคราว ซึ่งตลอดช่วง 1 ปีของการทำงานสร้างผลงานได้ 25 ราย ค่านายหน้า 68,265 บาทเป็นการทำงานแบบผสมผสานระหว่างการรับราชการทหารเรือ และใช้ช่วงเวลาว่างจากงานราชการ เข้าพบผู้มุ่งหวัง เพื่อขายประกัน ในเวลาต่อมา ได้ตัดสินใจด้วยตนเองว่าคงถึงเวลาแล้ว ที่ต้องลาออกจากราชการ เพื่อมากำหนดชะตาชีวิตในวันข้างหน้าด้วยตนเอง

ตามที่เกริ่นไว้ตั้งแต่แรกว่า ความรู้ที่ได้ จากการอ่านหนังสือ กับผู้คนที่ท่านคบหา และมีการพูดคุยด้วย จะทำให้ชีวิตของคนเรามีการเปลี่ยนแปลง ภายในระยะเวลา 5 ปี ดังนั้นเมื่อผมตัดสินใจที่จะทำงานเป็นตัวแทนขายประกันชีวิตอีกครั้งหนึ่ง ในช่วงปีแรกผมทำงานแบบพาร์ทไทม์ โอกาสของการเรียนรู้มีบ้างเป็นส่วนน้อย หาโอกาสเข้าประชุมที่สโมสรบ่ายวันเสาร์ของเครือชุมทอง 24 บ้างเป็นบางครั้งเท่านั้น การตัดสินใจเข้าร่วมสัมนากับเครือชุมทอง 24 U ที่มีชื่อรุ่นนี้ว่า “รุ่นล้างป่าช้า” ในปลายปี 2534 ทำให้ผมได้พบกับเพื่อนใหม่ในอาชีพเดียวกันที่เข้ามาร่วมการสัมนา ผมต้องทำเรื่องขออนุญาตลาพักร้อนเพื่อเตรียมตัวเข้ามาเรียนรู้ในครั้งนี้ แต่จังหวะชีวิตไม่เข้าข้าง ผมทำเรื่องขอลาพักร้อนในสัปดาห์ถัดไปเพื่อเข้าสัมนาต่อเนื่อง ที่เครือชุมทอง 24ยูจัดขึ้นจากวันหยุดเสาร์อาทิตย์ และเรียนรู้ต่อเนื่องในวันทำงาน แต่ผลของการลายังไม่ได้รับการอนุญาตในทันที เพราะหน่วยเรือที่ผมทำงานอยู่นั้น มีภารกิจที่ต้องปฏิบัติราชการด่วนในเรื่องใหม่ เป็นช่วงเวลาที่ผมกำลังเรียนรู้วิชาการตลอดทั้งวัน และเมื่อเดินทางกลับไปปฏิบัติหน้าที่ในเช้ามืดของวันใหม่ จึงเกิดข้อผิดพลาดในการออกไปทำงานในเช้าวันนั้น ใช่แล้วครับ เขาเรียกกันว่า”ตกเรือ” ลองคิดดูซิครับว่าการสัมนาของเครือยูที่จัดขึ้น เริ่มเรียนตั้งแต่ 08.30-22.00 น.โดยมีช่วงเวลาที่พักเบรกตามเวลาปกติ ทานอาหารตามเวลา เล่นกีฬาทางน้ำที่สระว่ายน้ำของโรงแรมตอนช่วงเย็น ภายหลังอาหารเย็นแล้วเรียนต่อกันถึงสี่ทุ่ม แถมด้วยการบ้านให้ไปทำต่อ แบบว่าจัดหนักเต็มที่ในแต่ละวัน การพักผ่อนมีเวลาจำกัด สำหรับผมเป็นทหารเรือที่ยังมีหน้าที่ที่ต้องทำตามคำสั่ง ดังนั้นทั้งงานหลวงและงานราษฎร์ ไม่มีใครอยากให้ผิดพลาดสักอย่างหรอกครับ แต่เส้นทางจากพัทยา มากองเรือยุทธการ ที่อำเภอสัตหีบ แม้จะไม่ไกลมากนัก เมื่อขับรถมาถึงและกำลังจอดรถยนต์ เรือก็ออกจากท่าไปพอดี มองเห็นเรือวิ่งออกจากท่าไปข้างหน้า แต่ไม่สามารถทำอะไรได้ โชคดีเหลือเกินที่เพื่อนของผมอีกลำหนึ่งโดดลงไปทำหน้าที่แทนให้ เพราะเป็นการออกไปปฏิบัติหน้าที่เพียงช่วงระยะเวลาสั้นๆ ประมาณ 2-3 ชั่วโมง ทำให้รอดตัวไป เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ผมต้องทบทวนชีวิตการรับราชการทหารเรือของผมอย่างหนัก ในชีวิตของคนๆหนึ่งจะมีโชคดีสักกี่ครั้ง ที่มีการพลาดพลั้งแล้วมีผู้ช่วย เวลาการทำงานของราชการไม่มีความแน่นอน หวนคิดถึงตอนกลับจากปฏิบัติหน้าที่ราชการชายแดนหนึ่งเดือนเต็มๆ พวกเราจะได้สิทธิ์พักผ่อนตามหลักปฏิบัติ จำนวน 5 วัน ความหวังที่จะได้กลับมาพักกับลูกเมียอย่างเต็มอิ่ม บางคราวมาอยู่ที่บ้านได้เป็นวันที่สองต้องรีบนั่งรถกลับไปปฏิบัติหน้าที่ใหม่ เพราะมีโทรเลขเรียกตัวให้กลับกรมกองด่วน ด้วยมีเหตุการณ์บางอย่าง สถานการณ์มากมายที่เกิดขึ้นมา เป็นตัวแปรให้ชีวิตเปลี่ยนไปมาตลอด บางครั้งเสาร์-อาทิตย์เป็นเวลาที่ข้าราชการหลายท่านจัดเตรียมข้าวของ และตั้งใจพาครอบครัวไปพักผ่อนบ้างเป็นครั้งคราว อาจมีคำสั่งด่วนบางเรื่องที่เรียกตัวข้าราชการที่เกี่ยวข้องกลับไปทำหน้าที่ได้ เมื่อพวกเราเป็นเพียงข้าราชการชั้นผู้น้อยที่ต้องคอยลุ้น เฝ้ารอดูคำสั่งที่บางครั้งมาแบบไม่ทันตั้งตัว แผนการณ์ที่วางไว้ให้ลูกเมียมีโอกาสคลาดเคลื่อนไปได้ นี่คือวิถีชีวิตของพวกเราในช่วงนั้น….

ตอนที่ 3 ประสบการณ์ที่มีคุณค่า

เมื่อเรียนจบชั้นมัธยมแล้ว มีโอกาสมาสอบแข่งขันเข้าเป็นนักเรียนจ่าสื่อสารทหารเรือสมใจนึก สำหรับชีวิตที่อยากเป็นทหารมาตั้งแต่เด็ก แล้วได้เป็นตามความตั้งใจ รับราชการมาตลอดระยะเวลาสิบกว่าปี นานพอสมควรสำหรับการทำงานในชีวิตราชการ มากพอสำหรับการได้เรียนรู้เรื่องราวมากมาย ไปร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ แต่ทำไมหนอ ชีวิตการรับราชการของผมยังไม่ก้าวหน้าไปได้มากกว่านี้ นั่งคิดกลับไปกลับมาในสถานการณ์ปัจจุบัน หลังจากที่ตนเองได้ไปพบกับอาชีพงานขายประกันชีวิตมาแล้ว เห็นได้ชัดเจนว่างานขายประกันชีวิต เป็นงานแห่งโอกาส ในการสร้างรายได้และความก้าวหน้าอย่างเป็นขั้นตอนและมึความสามารถกำหนดอนาคตได้ คนอื่นๆทำไมเขาจึงทำกันได้มากมาย แต่ทำไมนะคนอีกจำนวนหนึ่ง ทำกันไม่ได้ แล้วก็รวมมาถึงตัวเราด้วย ที่ฝ่าด่านความยากลำบากในงานขายเดินต่อไปไม่ได้ เริ่มตั้งคำถามกับตนเองว่า ผมควรจะรับราชการต่อไปอีกหรือไม่ หรือควรที่จะผันตนเองไปเป็นนักขายประกันชีวิต เริ่มสำรวจตรวจสอบเพื่อนฝูงที่เคยรับราชการด้วยกันมา

มีหลายคนเติบโตด้านยศ ตำแหน่ง เป็นเพราะพวกเขามีความขยันหมั่นเพียรและเอาใจใส่ในการทำงาน ส่วนผมมีความใส่ใจกับความสนุกสนานต่อการใช้ชีวิต ตามหลักนิยมของหมู่นักแสวงหาความสุขทั้งหลายที่กล่าวว่า “รัศมีการกินไกล รายได้ต่ำ รสนิยมสูง” มีหลายคนที่ตั้งใจก้าวไปข้างหน้าผันตัวเองไปอยู่หน่วยงานราชการอื่น บ้างก็ไปทำงานเกี่ยวกับการเดินเรือต่างประเทศ ด้วยมีความรู้ ความสามารถทางด้านภาษาดี เมื่อมองย้อนหันกลับมาดูตนเอง ยังขาดปัจจัยต่างๆอีกมากมายทั้งเรื่องความรู้ที่จะไปต่อสู้ชิงชัยกับเขาหากมีการแข่งขัน ภาษาที่ตนเองยังอ่อนด้อย เมื่อย้อนหลังกลับไปทบทวนอดีต ทำให้หวนนึกไปถึงตอนสมัยเรียน พอถึงชั่วโมงภาษาอังกฤษต้องโดดเรียนประจำ นี่แหละครับบทเรียนที่ธรรมชาติเริ่มลงโทษ เมื่อรักสนุกก็ต้องทุกข์ถนัด ความสนุกกับหมู่เพื่อนในวันนั้น เป็นความติดขัดกับความเจริญในวันนี้ แต่เอาละ ชีวิตที่ผ่านมาผมก็ต้องยอมรับและเต็มใจในผลของมัน เพราะตัวเราล้วนเป็นผู้ก่อขึ้นมาทั้งสิ้น ตอนปลายปี 2531 มีหลายครั้งที่ได้เข้าร่วมกิจกรรมสัมนากับเครือชุมทอง 24 ยู เจอคนหลากหลายอาชีพที่ได้พบปะ พูดคุย บางคนดูท่าทางจะมีความสำเร็จในงานนี้ บางคนได้แลกเปลี่ยนความคิดกับผมในหลายๆแง่มุม อาทิเช่น “พี่ตุ๋มลองคิดดูนะ ถ้าพี่ตุ๋มรับราชการจากวันนี้ไปถึงวันเกษียณ พี่ตุ๋มมีเงินเดือนปัจจุบันเดือนละเท่าไร ลองนำมาคูณจำนวนเดือน ทบไปตามจำนวนปี ลองดูซิครับ หากมีการปรับเลื่อนขั้น เลื่อนตำแหน่ง เงินที่พี่ตุ๋มจะได้รับ บวก บวกกันเข้าไปแล้วเอาไปรวมกับสวัสดิการอื่นๆ เช่นค่าเทอมของลูกที่เบิกได้ ค่ารักษาพยาบาลของพ่อแม่ลูกเมียที่จะเบิกได้ ลองรวมเป็นเงินเท่าไหร่ ลองเอาไปคิดต่อ หลังเกษียณอายุแล้วพี่ตุ๋มจะมีอายุยืนยาวไปอีกกี่ปี ได้เงินเบี้ยหวัด บำนาญ รวมแล้วเป็นเงินเท่าไหร่? แต่ถ้าพี่ตุ๋มมาลองใช้ชีวิตทำงานที่นี่ ผมเชื่อว่าพี่ตุ๋มจะทำได้มากกว่านี้นะ…..” “….แหม…ผมคิดในใจ ชิชะนี่คิดจะหว่านล้อมชวนเราให้ลาออกซะงั้น ฝันไปเถอะ….อย่ามายุ่งกับเรา”

เป็นธรรมชาติของมนุษย์จริงๆ ครับ ที่ทุกคนจะต้องรักและหวงแหนสิ่งที่ตนเองมีอยู่ โดยเฉพาะรายได้ที่ทำให้เรามีชีวิตอยู่รอดในสังคม โดยส่วนตัวของผม ต้องขอบอกตามตรงว่า ยังไม่เชื่อคำพูดใดๆ ที่ใครพากันมาพูดคุยด้วย ยังไม่คิดจะลาออก เพราะตนเองยังไม่มีความสามารถที่จะทำงานนี้ได้ ผมคิดว่าเป็นงานที่มีความยากน่าดู แต่ก็เป็นงานที่ท้าทายความสามารถ แล้วตลอดระยะเวลาที่ผ่านไปแต่ละวัน ผมไม่เคยหยุดยั้งความคิดของผมที่จะทบทวนเรื่องราวต่างๆของตนเอง วันนี้เรากำลังทำอะไร อดีตที่ผ่านมาเป็นยังไงบ้าง แล้วในอนาคตล่ะ ผมควรจะเดินไปข้างหน้าในทิศทางไหน …หนังสือที่ท่านอ่าน กับคนที่ท่านพบ ในเวลา 5 ปีจะทำให้ท่านเปลี่ยนไป ผมเชื่อว่าคำกล่าวนี้เป็นความจริง และผมเป็นคนโชคดีที่มีคุณพ่อเป็นต้นแบบของการเป็นนักอ่าน หนังสือในตู้หนังสือของคุณพ่อมีขนาดใหญ่ 2 หลังเต็มไปด้วยหนังสือดีมีคุณค่ามากมาย ที่พ่อเพียรพยายามให้ผมอ่านอยู่บ่อยๆ และหนังสืองานขาย “การเดินตลาดที่ได้ผล 100%” ของแฟรงค์ เบตเยอร์ ก็เป็นหนึ่งในหนังสือที่พ่อมอบให้กับผมตั้งแต่รู้ว่าผมอยากขายประกันชีวิต พ่อบอกว่า “พ่อใช้หลักการของการเดินตลาดของแฟรงค์ เบตเยอร์ เป็นแสงสว่างในการนำทางด้านการขายประกันชีวิต” ใช่แล้วครับพ่อของผมเป็นยอดนักขายท่านหนึ่งในงานขายประกันชีวิตของบริษัทหนึ่งในอดีต พ่อได้เคยเขียนบทความมากมายไว้ในหนังสือและวารสารของบริษัทแห่งนี้เป็นจำนวนมาก และผมได้มีโอกาสอ่านบทความเกี่ยวกับการตอบข้อโต้แย้ง รวมทั้งเส้นทางการทำงานขายของพ่อ (น่าเสียดาย ที่หนังสือที่เก็บไว้ในกล่อง ถูกปลวกกินจนไม่สามารถนำมาเก็บรักษาได้)

หนังสือเล่มนั้น”การเดินตลาดที่ได้ผล100%” อยู่กับผมตลอดเวลา สำหรับการเดินทางออกไปลาดตระเวณในท้องทะเลอ่าวไทย ระหว่างการปฎิบัติราชการชายแดน ด้านจันทบุรี-ตราด ผมอ่านซ้ำแล้วซ้ำเล่า เริ่มเห็นข้อผิดพลาดของตนเองทีละเล็ก ทีละน้อย ด้วยเหตุที่ตนเองมีนิสัยรักการเขียนเป็นทุนเดิม จึงเริ่มแยกแยะประเด็นต่างๆ มาเป็นหมวดหมู่ เขียนไว้ในสมุดปกอ่อนอีกเล่มหนึ่ง ที่ทุกครั้งได้อ่านข้อความสำคัญๆโดนใจ เชื่อว่าจะเป็นประโยชน์ต่อไป และได้ใช้ในวันข้างหน้า แล้วผมก็เริ่มสะสมบทความจากหนังสือหลายเล่ม ทั้งจากหนังสือของอาจารย์ทินวัฒน์ มฤคพิทักษ์บ้าง จากหนังสือแนวทางการขายด้านอื่นๆ บ้าง รวมทั้งหนังสือที่เกี่ยวกับการสร้างแรงบันดาลใจ ความรู้ทั่วไป ผมอ่าน อ่าน อ่าน แล้วก็อ่าน จด จด จด แล้วก็จำ ปลุกจิตสำนึกของตนเองให้มีความรู้สึกกล้าหาญ กล้าที่จะเผชิญกับเหตุการณ์ในวันข้างหน้า เพราะตนเองมีความรู้สึกตลอดเวลาว่า ไม่มีอะไรน่ากลัวกว่านี้อีกแล้ว ในการใช้ชีวิตการเป็นทหารถูกปลุกเร้าจิตวิญญาณมาตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียนทหารตลอดเวลาว่า “ตายในสนามรบเป็นเกียรติของทหาร” “ตายเสียดีกว่าที่จะละทิ้งหน้าที่” “ตายเสียดีกว่าที่จะอยู่อย่างผู้แพ้”..ฯลฯ และผมเองเคยมีโอกาสเฉียดความตายในบางครั้ง ตอนที่ได้ไปปฏิบัติราชการชายแดน …. เอาละครับ การปลุกจิตสำนึกให้มีความกล้าหาญ การสร้างความกล้าที่จะเริ่มต้นท้าทายกับชีวิตของตนเองในการเผชิญกับความผิดหวังต่องานขายประกันชีวิต ผมเริ่มเข้าใจ ผมเริ่มยอมรับ ผมเริ่มที่จะเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของตนเอง ……ถูกแล้วครับ ผมกำลังจะบอกกับทุกท่านว่า “ผมจะตัดสินใจลาออกจากการรับราชการทหาร เพื่อเดินทางเข้าสู่อาชีพใหม่ ตัวแทนขายประกันชีวิต ผมเลือกที่จะลิขิตชีวิตของผมเอง ด้วยน้ำมือของผม พร้อมที่จะเขียนชีวิตของผมขึ้นมา สร้างตำนานหน้าใหม่ให้เกิดขึ้น ผมพร้อมแล้วที่จะเดินไปข้างหน้า

“ก้าวเข้ามา อย่างทะนง และองอาจ ใช่ขี้ขลาด ตาขาว เราทหาร หาความรู้ นำไป เพื่อใช้งาน ขายหลักฐาน การประกัน อันมั่นคง”

ผมตัดสินใจกลับมาสอบความรู้เกี่ยวกับการประกันชีวิตอีกครั้งในเดือนธันวาคม 2533 แต่ยังไม่ออกรหัสตัวแทน ด้วยเกรงว่าจะเสียค่าธรรมเนียม 2 ครั้ง จึงประวิงเวลามาออกรหัสในเดือนมกราคม และได้รหัสอย่างเป็นทางการ 31 มกราคม 2534 เป็นก้าวแรกสำหรับการเริ่มเดินทางในอาชีพการเป็นนักขายอย่างเต็มรูปแบบ ชีวิตการเป็นตัวแทนพาร์ทไทม์ในปีแรก สามารถสร้างผลงานได้ 25 รายประกันชีวิต ค่านายหน้า 68,265 บาท ไม่โดดเด่น ไม่ยิ่งใหญ่ ไม่ได้เป็นท๊อปของยอดนักขาย แต่เป็นความภาคภูมิใจในชีวิตของลูกผู้ชายชาติทหารคนหนึ่งที่ดีใจว่าตนเองทำได้ แล้วชีวิตการเป็นนักขายของผมก็เริ่มเรียนรู้มากขึ้น กิจวัตรประจำเดือนของผมที่รักจะปฏิบัติคือการเข้าร้านขายหนังสือ เพื่อเลือกหาหนังสือเกี่ยวกับงานขาย เคล็ดลับและวิธีการต่างๆ หนังสือการสร้างแรงบันดาลใจ แนวคิดสร้างเสริมพลังต่างๆ ผมเลือกที่จะซื้อ และใช้เวลาจำนวนมากกับการอ่าน จด และจำ พร้อมนำไปใช้จริงในสถานการณ์แต่ละวัน หนังสือที่เราอ่าน….ใช่แล้ว เราได้อ่านหนังสือจำนวนมาก กับคนที่ท่านพบ…จะทำให้เราเปลี่ยนไป

และช่วงเวลาสำคัญของชีวิตก็มาถึง ในการเข้าร่วมสัมนาหลักสูตรของคุณธารินทร์ นันทาภิรักษ์ และอาจารย์มงคล ศิริพัลลภ ที่พัทยา เป็นเวลา 1 สัปดาห์เต็ม เขาเรียกรุ่นนี้ว่าเป็นรุ่น “ล้างป่าช้า” ผมมีโอกาสได้พบกับผู้คนมากมาย รวมทั้งสุภาพสตรีท่านหนึ่ง ที่ผมได้นั่งเรียนใกล้ ๆ ช่วยเขาคิดตัวเลขที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะตอนคิดเงินเดือน Career Benefit พวกเราในชั้นเรียนจะนำตัวเลขจริงที่ขายได้ในปีที่ผ่านมา ใส่ตัวเลขในช่องการทำงานจริงในปีที่หนึ่ง แล้วเริ่มคำนวณว่าเราจะได้รับเงินเดือนในปีถัดไปเท่าไหร่ ผมจะคิดในส่วนของผมก่อน แล้วก็เริ่มไปช่วยเหลือคนที่นั่งใกล้เคียงกับผม คุณปรีชา จ้อยสูงเนิน และคุณวาสนา พุ่มมั่น อย่างที่บอกครับผมขายได้ 25 ราย มีรายได้ 68,265 บาท ผมก็มีความภูมิใจในผลงานของผมแล้ว เพราะผลงานทั้งหมดมาจากความสามารถอันยิ่งใหญ่ของผมมิใช่หรือ แต่ว่าของเธอ….ขายได้ 8 ราย มีรายได้ 81,050 บาท …อะไรกันนี่…เธอขายนิดเดียว ทำไมมีรายได้มากกว่าผม ผมอึ้ง..แต่ต้องเก็บอาการไว้ เริ่มใช้ช่วงจังหวะเวลาว่างที่มีสัมภาษณ์ถึงแนวทางการทำงาน และเบี้ยประกันต่อรายที่เธอได้นำเสนอขายให้กับลูกค้า หลังผ่านการสัมนาครั้งนั้น คำพูดในการขายของผมใหญ่ขึ้น พบลูกค้ามากขึ้น ผมเตรียมยื่นเรื่องการลาออกจากทางราชการ ผมกำลังจะเป็นฟูลไทม์ ผมเริ่มปฏิญาณกับตนเองว่า ในชีวิตที่ผ่านมา เราได้ปล่อยเวลาไปอย่างไม่มีคุณค่า เรายังไม่ได้สร้างความสำเร็จให้เกิดขึ้นอย่างชัดเจนกับชีวิตสักที ถึงเวลาแล้วใช่ไหม ที่เราจะต้องปฏิวัติชีวิตของเราอย่างหนัก แบบถึงขั้นรุนแรงก็ว่าได้ ผมตัดสินใจเลิกการดื่มเหล้า ทั้งๆที่ในอดีตที่ผ่านมา ผมมีความลุ่มหลงเจ้าน้ำสีอำพันมาอย่างยาวนานก็ตาม ผมบอกกับตัวเองว่า จากวันนี้ไปจะไม่ดื่มเหล้า จนกว่าจะพบกับความสำเร็จในการเป็นผู้บริหารหน่วย โดยปักธงไว้ในใจว่าวันที่ 1 ธันวาคม 2536 ต้องเป็นผู้บริหารหน่วยให้ได้ จะงดเหล้าและไม่ดื่มเด็ดขาด ผมตัดสินใจเลิกการสูบบุหรี่ เพราะค้นพบว่าทุกครั้งที่อยู่กับลูกค้า ลูกค้าเห็นว่าเราพกบุหรี่ใส่กระเป๋าเสื้อมาด้วย ระหว่างการพูดคุยกันเป็นเวลานาน ก็จะบอกกับเราว่า อยากสูบบุหรี่ก็ได้นะ ซึ่งเราก็โล่งใจว่าลูกค้าคงไม่รังเกียจ เมื่อเราหยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบและปล่อยควันไปข้างๆ เริ่มสังเกตุว่าลูกค้าก็เอียงตัวหลบควันบุหรี่บ้างในบางครั้ง และเมื่อมีการประชุมกับบริษัท มีห้องแคบๆไว้รองรับพวกเราที่มีความเสน่หาในเปลวควัน ที่พวกเราพอใจในการสร้างความสุนทรีย์ให้กับอารมณ์ของผู้เสพ แต่ไม่พึงปรารถนาต่อคนกลุ่มใหญ่ ในอดีตที่ผ่านมาผมเคยตัดสินใจที่จะเลิกสูบบุหรี่หลายต่อหลายครั้ง แต่ไม่เคยทำได้ ทันทีที่เปลี่ยนความคิดว่า เรากำลังทำเพื่อคนอื่นๆที่อยู่รอบตัวเรา และเรากำลังทำเพื่อความสำเร็จของตัวเราในวันข้างหน้าที่กำลังรอเราอยู่ด้วย ผมจึงตัดสินใจครั้งสุดท้ายในการยกบุหรี่ออกจากกระเป๋า เพียงเท่านี้ชีวิตที่ติดบุหรี่ของผมตั้งแต่หัดสูบตอนอยู่ ป.4 และมาสูบอย่างต่อเนื่องตั้งแต่มัธยมจนสอบเข้าเป็นทหารเรือ รวมเวลาตลอดการรับราชการเป็นระยะเวลา 15 ปี เจ้าบุหรี่ควันพิษที่ผมได้ค้นพบและยอมรับว่าไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการและมีความปรารถนาอีกต่อไป ก็อันตรธานไปจากชีวิตของผมตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ผมเลิกเล่นการพนันเพราะผมมีความเชื่อว่าภาพพจน์ในสายตาของผู้ที่กำลังมองเราอยู่ ไม่เป็นผลดีอย่างแน่นอน หลายๆอย่างที่ผมได้ตัดสินใจ กำลังนำไปสู่การกระทำ ผมพบลูกค้าตามคำแนะนำจากผู้จัดการคนเก่งของผม คุณธารินทร์ นันทาภิรักษ์ อย่างน้อย 5 คนต่อวัน บางวัน 8 คน 10 คน 12 คนแล้วแต่โอกาสจะอำนวย สิ่งที่ผมยอมไม่ได้ และไม่เคยยอม ผู้หญิงเก่งคนนั้น คุณวาสนา พุ่มมั่น เธอมีงานมาส่งและเล่าเคสให้พวกเราได้ฟังทุกบ่ายวันเสาร์ในการประชุมเครือชุมทอง 24 ยู ส่วนตัวของผมต้องมีให้ได้เช่นกัน เพื่อที่จะมาเล่าให้เพื่อนๆฟัง บางครั้งส่ง 1 รายบ้าง 2 รายบ้าง ผมไม่ยอมแพ้และก็พบว่าเธอก็คงไม่ยอมเช่นกัน ทำให้พวกเรามีงานส่งเข้าสำนักงานอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง สมัยนั้นไม่มีการสื่อสารที่ดี ไม่มีโฟนลิ้งค์ ไม่มีมือถือ แต่เวลาที่พวกเราได้เจอกันคือการประชุม เราแอบแข่งขันกันอย่างเงียบๆ จนส่งผลให้เรามีผลงานติดคุณวุฒิ MDC 2 ปีติดต่อ ส่วนตัวผมมีค่านายหน้าในปีที่ 2 เท่ากับ 468,031 บาทและมีรายได้ในปีที่ 3 เท่ากับ 661,938 บาท โดยเฉพาะความภูมิใจของผมคือการพิชิตคุณวุฒิไฟว์แอป ทำได้ 23 เดือนติดต่อกัน (คุณวุฒิไฟว์แอปต้องมีผลงานอนุมัติ 5 รายปี หรือ 4 รายปี 2 พีเอ,ส่วนตัวของผมมีผลงานอนุมัติขั้นต่ำ 5 รายปีและบางเดือนอนุมัติ 8 รายปีหรือมากกว่า)

เมื่อผมตัดสินใจลาออกในต้นเดือนพฤษภาคม 2535 วิถีชีวิตของผมถูกปรับเปลี่ยนให้เข้ากับการทำงานในบริษัท เอ.ไอ.เอ.ผมยึดมั่นการเข้าประชุมตรงตามเวลา และไม่เคยขาด ผมให้ความร่วมมือกับกิจกรรมต่างๆ ที่จะสร้างเสริมทักษะตนเองให้มีความชำนาญและมีความเชี่ยวชาญในอาชีพ ผมกำลังเข้าสู่ลู่วิ่งแห่งการเดินทางที่ผมกำลังจะสร้างตำนานใหม่ขึ้นมา ผมพร้อมทั้งตัวและหัวใจที่เกิน 100%

“ชีวิตเรา ก้าวไป ในโลกกว้าง ด้วยความหวัง สิ่งที่ดี ที่สดใส ตื่นวันนี้ อีกวัน ฝันให้ไกล แล้วก้าวไป ให้ถึง ซึ่งเส้นทาง”

ตอนที่ 2 ช่วงของการเริ่มต้น

เรื่องเล่าของข้าพเจ้า ตอนที่ 2 ช่วงของการเริ่มต้น

ตั้งแต่วันแรกที่ผมตัดสินใจเริ่มต้นพบคน หลังจากได้ฟังหลักการทำงานจากคุณธารินทร์บอกว่า สถิติการพบคนมีค่าเฉลี่ย 10 ต่อ 1 นั่นแสดงว่าถ้าเราพบคนที่เป็นผู้มุ่งหวังจะเป็นลูกค้า ใน 100 คนมีความน่าจะเป็น ในการขายได้ 10 คน ผมได้เก็บข้อมูลการพบคนอย่างต่อเนื่อง จาก 10 เป็น 20,21 และคนที่ 22 ผมจึงเริ่มขายได้เป็นรายแรกในแบบประกัน 20 PLP เบี้ยประกัน 3,581 บาท เป็นทหารเรือรุ่นพี่ คุณวัชระ ตันติกุล ผู้เคยร่วมทุกข์สุขกันมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่ครั้งเมื่อพวกเราอยู่ร่วมกันที่ชายแดน เหตุผลในการขายได้เพราะความไว้วางใจเป็นการส่วนตัวที่มีความเป็นเพื่อน แต่ต้องใช้เวลาอธิบายอย่างมากมาย จนเพื่อนถามว่า “แน่ใจหรือว่าจะทำงานนี้จริงๆ” ตอบเพื่อนไปว่า “สัญญาว่า ผมจะดูแลกรมธรรม์ฉบับนี้ตลอดไป” ต้องขอขอบคุณเพื่อนผู้พี่ท่านนี้เป็นอย่างมากสำหรับการให้คนๆหนึ่งได้ก้าวเดินบนเส้นทางสายนี้…….ผมใช้เวลาจากวันที่ 15 ตุลาคม 2531 ขายได้วันที่ 19 พฤศจิกายน 2531 นับเวลาได้เดือนเศษ นั่นเป็นเพียงก้าวแรกสำหรับการเรียนรู้ในงานขายประกันชีวิต ผมยังคงมุ่งมั่นต่อไปสำหรับการหาลูกค้ารายที่สอง ด้วยการเดินทางไปยังจังหวัดต่างๆ ที่ตนเองคิดว่า เขาหรือเธอ ญาติ คนรู้จัก คนเคยชอบพอกัน น่าจะให้ความไว้วางใจผม และยอมรับการเสนอขายประกันจากผมบ้าง มีการเดินทางไปจังหวัดฉะเชิงเทรา นั่งรถเมล์ประจำทาง โดยผมมีความหวังว่าคงได้รับการต้อนรับที่ดี ผลที่ได้ไม่เป็นไปตามความคาดหมาย เดินทางกลับมาบ้านที่จังหวัดปทุมธานีอย่างหมดหวัง แต่ยังไม่สิ้นพลัง เขียนบทกลอนไว้ปลุกเร้าจิตใจของตนเองระหว่างการเดินทาง

“ขายประกัน ไม่มีวัน จะจบสิ้น ถ้าแผ่นดิน ไม่กลบหน้า ข้าฯเสียก่อน ไกลแค่ไหน อยู่ที่ใจ ไม่อาวรณ์ ถึงหนาวร้อน ฝนกระหน่ำ ทำต่อไป”

ใช่จริงๆด้วย ผมเดินทางฝ่าสายฝน ฝ่าความร้อน ฝ่าความหนาว ผมเดินทางไปจังหวัดจันทบุรี จังหวัดตราด เพื่อทำการสนอขาย เช่นเดิมครับ ยังไม่มีใครให้การตอบรับการขายประกันชีวิตของผมเช่นเดิม อาจเป็นเพราะผมเป็นทหารมานานเกินไป 10 กว่าปีแล้วที่ผมใช้ชีวิตการเป็นทหาร ผมมีความเชื่อมั่นในตนเองสูงมาก ผมเชื่อว่าผมตอบข้อโต้แย้งที่เป็นข้อสงสัยในปัญหาต่างๆของลูกค้าได้อย่างชัดเจน มีความกล้าหาญ และองอาจ แต่ทำไม? คนที่ฟังผมอธิบายแบบประกัน อธิบายผลประโยชน์ต่างๆ ที่ครอบครัวของพวกเขาจะได้รับ จึงยังไม่ตัดสินใจซื้อประกันกับผมเล่า? ผมเขียนบทกลอนเพิ่มเติมขึ้นมาปลอบใจตนเองอีกว่า

“ขายประกัน นั้นไม่ยาก ถ้าอยากขาย ขายไม่ได้ ไม่สำคัญ อย่าหวั่นไหว ไม่ออกไป พบคน ก็จนใจ จะขายได้ ต้องขยัน หมั่นพบคน”

ไปทั่วทุกแห่ง สุดท้ายก็หวนกลับมาหาคนในแวดวงทหารเรือ คุณจำเนียร ปิ่นแก้ว เป็นรุ่นน้องเหล่าสื่อสารด้วยกัน ใช้ความเพียรพยายามอธิบายอย่างละเอียด หลังจากที่พบคนใหม่มาแล้วอีก 24 คน ทำให้ขายรายนี้ได้เป็นแบบประกัน 21 TMAE ทุน 100,000 เบี้ยประกัน 7,530 บาท ในวันที่ 18 มกราคม 2532 ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จย่อมอยู่ที่นั่น ผมยังคงทำงานต่อไปทั้งการเดินทางระยะใกล้ ระยะไกลมากขึ้นไปเรื่อยๆ ไกลขนาดไหนหรือครับ ลองคิดดูซิครับ ผมเป็นคนภาคกลาง มารับราชการทหารเรืออยู่กองเรือยุทธการ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี ได้ไปราชการออกเดินเรือทั้งเรือรบ เรือสำรวจสมุทรศาสตร์ จนเดินทางไปมาเกือบทั่วทั้งอ่าวไทย และยังมีโอกาสมารับราชการชายแดน ที่ นปข.(หน่วยปฎิบัติการตามลำแม่น้ำโขง) จังหวัดนครพนม ผมเคยคิดในบางครั้งว่า ครั้งหนึ่งที่ผมเคยมีโอกาสมาทำงานด้าน ปจว.(ปฎิบัติการทางจิตวิทยา)ที่จังหวัดนครพนมแห่งนี้ ทำหน้าที่เล่นดนตรี เพื่อสร้างความสุข ความบันเทิงให้กับมวลชน คราวนี้สำหรับการเดินทางกลับมาหาแฟนเพลงที่เคยชื่นชมผม เคยสนับสนุนผม โดยมีวัตถุประสงค์ใหม่คือการเสนอขายประกันชีวิต น่าจะได้รับการต้อนรับ จึงเตรียมเสื้อผ้า 2-3 ชุดเดินทางไกลอีกครั้งเพื่อไปขายประกันชีวิต สินค้าที่ผมเชื่อว่าเป็นประโยชน์กับทุกๆคน แล้วผมก็พบกับความผิดหวังซ้ำซ้อนเช่นเดิม เพราะหลายๆคนบอกว่า “แบบนี้..ไม่ใช่พิชิตคนเดิม”, “อย่าทำแบบนี้เลยนะ เธอไม่เหมือนกับพิชิตที่พวกเราเคยรู้จัก..”ฯลฯ ผมแทบจะร้องเพลง “แบกความเจ็บช้ำ ลงเรือข้ามฝั่งมหาชัย” เฮ้อ…ทำไมงานขายประกันชีวิตมันถึงยากขนาดนี้

ใครจะไปรู้ว่า ชีวิตของคนเราเกิดมาแล้วตลอดช่วงชีวิตหนึ่ง จะได้เป็นอะไรบ้าง ได้เป็นอย่างที่ใจตนเองปรารถนา อย่างที่เคยเลือกไว้หรือเปล่า บางครั้งความต้องการที่แท้จริง อยากเป็นนั่น อยากเป็นนี่ พอมีโอกาสได้เป็น กลับค้นพบว่าไม่ใช่สิ่งที่ตนเองชอบ……ความพอเหมาะ ความพอดี พอให้ตนเองเกิดความรู้สึกพึงพอใจได้…ผมจำได้ว่าสมัยตอนผมเป็นเด็กๆอยู่บ้านนอก ชอบเล่นน้ำที่หลังบ้าน มีบัวอยู่มากมายในสระใหญ่ และก็มีคลองเล็กๆ ที่เชื่อมระหว่างสระใหญ่กับแม่น้ำเจ้าพระยา ตอนเด็กๆพวกเราชอบเล่นน้ำกันมาก แล้วผมก็ชอบเล่นเป็นทหารบ้าง เป็นผู้ร้ายบ้าง สลับกันบ่อยๆกับเพื่อนๆในกลุ่ม ผมชอบเลือกที่จะเป็นทหารไทยผู้ปกป้องประเทศชาติ มีอาวุธคือดินโคลนที่มีอยู่ในน้ำ เมื่อพวกเราต้องการอาวุธ แค่ดำลงไปควักดินโคลนขึ้นมา แล้วขว้างปาใส่กัน สมมติว่ามีการสู้รบเกิดขึ้น สนุกมากครับ แต่การเล่นแบบเด็กๆ จากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ทำให้มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ ระหว่างการเล่นน้ำที่ดำผุดดำว่าย โผล่พ้นน้ำขึ้นมาเราก็ขว้างปาอาวุธ(ดินโคลน)ใส่กัน แล้วผมก็พลาดจนได้ โดนฝ่ายข้าศึกปาดินโคลนเข้าเต็มตา ทำให้การเล่นต้องหยุดชะงัก เพราะมีดินเข้าไปในเบ้าตาของผม จำได้ว่าต้องนอนรักษาตัวอยู่กับบ้านให้คุณยายและคุณแม่ดูแลประมาณสัปดาห์เศษ หวิดตาบอดเพราะความสนุกที่เกินขอบเขต